มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1149
ในระหว่างนี้ ถังหยุนและจินเฟยเทียนก็ต่างฝึกตนปิดขังอย่างตั้งใจเช่นกัน ผลการฝึกตนของทั้งสองต่างเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ทว่าพวกเขาไม่มีโลกาศุภร ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ศักยภาพของตัวเขาเองเพิ่มขึ้นรวดเร็วมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ความเร็วของศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของตนต้องทิ้งห่างจากถังหยุนและจินเฟยเทียนเยอะมากแน่นอน ถ้าออกไปฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์ข้างนอกละก็ จากศักยภาพของพวกเขาน่าจะไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้แก่เขาได้ มากกว่านั้นคือทั้งสองอาจจะเป็นตัวถ่วงของเขาอีก
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงเรียกมนุษย์และอสูรทั้งสองนั่นมา ประทานยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่กลั่นได้ง่าย ๆ ในช่วงฝึกตนปิดขังให้พวกเขา และนำสมุนไพรเพิ่มพลังที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังที่มหาศาลให้พวกเขาคนละต้น เพื่อใช้ในการฝึกวิชาบรรพเทพโลหิต
เวลาผ่านไปอีกสองเดือน หลังจากที่ถังหยุนและจินเฟยเทียนออกมาจากการฝึกตนปิดขัง มีรังสีแห่งความสุขใจปรากฏอยู่บนใบหน้าถังหยุน ผลการฝึกตนจากมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 บรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 5 แล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตแล้ว ร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็ได้รับการยกระดับอย่างรวดเร็ว บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของจินเฟยเทียนมีมากกว่า เนื่องจากสายเลือดของมังกรทองตัวนี้ประสมประเสกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว รากฐานไม่มั่นคง จากการชี้แนะและปรับปรุงของหลัวซิว ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แค่หนึ่งปี ศักยภาพของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเพิ่งมาขอหลบภัยกับหลัวซิว ผลการฝึกตนของเขาอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 แต่ทว่าศักยภาพของเขากลับค่อนข้างอ่อนเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่อยู่ในแดนเดียวกัน
ปัจจุบัน ภายใต้ผลของยาจำนวนมากที่หลัวซิวประทานให้ ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 แล้ว บวกกับวิชาอมตะที่หลัวซิวประทานให้ ศักยภาพความสามารถที่แท้จริงของเขาแข็งแกร่งกว่าถังหยุนรำไร
เมื่อมองจากมุมใดมุมหนึ่งแล้ว หลัวซิวลำเอียงไปทางจินเฟยเทียนมากกว่า เนื่องจากในตัวหยั่งรู้ของจินเฟยเทียนมีวิญญาณต้องห้ามที่เขาทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ทุกสิ่งอย่างของจินเฟยเทียนล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
แต่ถังหยุนกลับไม่มีตัวผูกมัดเหล่านี้ วัตถุประสงค์ที่นางเลือกคอยอยู่ข้างกายหลัวซิวนั้น ก็เพื่อได้รับทรัพยากรในการฝึกตน หากมิใช่เพราะเกิดความสงสาร หลัวซิวก็ไม่มีทางเก็บนางไว้ข้างกายตนหรอก
แต่ทว่าแม้จะเก็บนางไว้ข้างกาย แต่ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้ช่วยเหลือนางเยอะมากนัก การที่นางจะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั้น ต้องดูที่โชคชะตาของนางอีกที
จินเฟยเทียนเป็นเจียวทองที่บรรลุธรรมกลายมังกร สิ่งที่ฝึกตนคือกฎธาตุทองที่จัดอยู่ในอันดับ 5 ของกฎพื้นฐาน นอกจากหลัวซิวจะถ่ายทอดถลาเวหาอมตะให้เขาแล้ว หลัวซิวก็ได้ถ่ายทอดวิชาอมตะธาตุทองอีกวิชาหนึ่งให้เขาเช่นกัน
วันนี้ หลัวซิววางแผนจะออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ข้างนอก ด้านหนึ่งเพื่อขัดเกลาการเพ็ญตนของตัวเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพื่อตามหาสมุนไพรเพิ่มพลังเพื่อมาเพิ่มศักยภาพความสามารถของตน
และในตอนนี้เอง คนรับใช้ชราคนหนึ่งมาถึงหน้าถ้ำเขา ก่อนจะพูดอย่างเคารพนอบน้อม: “ท่านชายหลัว ผู้อาวุโสเรียกให้ท่านไปที่สำนักสักเที่ยวขอรับ”
“ข้าจะไปบัดนี้แหละ”
หลัวซิวลุกขึ้นในทันที เดินออกไปจากถ้ำ ลอยตัวขึ้นฟ้า หลังจากชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ไปถึงสำนักบนเขาสุดหล้าแล้ว
ภายในสำนัก ซุ๋นหวู่หยานั่งอยู่บนที่นั่งหลัก เมื่อหลัวซิวไปถึงที่นั่น ภายในสำนักก็มีเงาร่างของคนสามคนแล้ว
ในบรรดาทั้งสามคนนี้ หลัวซิวมองเห็นหลิงเฟิงแล้ว ก่อนหน้านี้เขาถูกซุ๋นหวู่หยาลงโทษให้ไปนั่งฌานที่เขาพระแสง บัดนี้เขาก็ถูกเรียกตัวมาที่นี่เช่นกัน แต่กลับไม่ทราบเลยว่าเรียกมาเพราะเรื่องใด
ในส่วนของอีกสองคนที่เหลือนั้น หนึ่งในนั้นคือชายวัยกลางคนในชุดแขนยาวเหมือนปัญญาชน และชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ทั้งสองน่าจะเป็นศิษย์อีกสองคนของซุ๋นหวู่หยา
“เหอะ ๆ คนนี้น่าจะเป็นศิษย์น้องเล็กใช่ไหม? ได้ยินมาว่าเจ้าเอาชนะศิษย์พี่ใหญ่ได้โดยที่ผลการฝึกตนอยู่ในแดนเดียวกัน ช่างน่าเลื่อมใสจริง ๆ!”
ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดดำ กวาดตามองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มตาหยีพลางพูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลิงเฟิงแค่ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น ไม่ได้พูดอะไร