มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1151
เขาใช้พลังอมตะวิชาตราประทับเหมือนคราวก่อนอีกครั้ง พึ่งอำนาจและอิทธิพลเล่นกลอุบาย แฝงซ่อนไปด้วยพลังแห่งการกดอัด พลานุภาพยิ่งใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุด
เป็นอย่างที่หลิงเฟิงกล่าวในเมื่อกี้นี้ ศักยภาพของเขามีการก้าวกระโดดจริง ๆ พลังอมตะที่ปล่อยออกมาด้วยผลการฝึกตนของมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 นี้ อนุภาครุนแรงกว่าการประมือกันเมื่อคราวก่อนไม่น้อย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าบอกไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่า สู้กันโดยที่อยู่แดนเดียวกัน ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”
หลัวซิวส่ายหน้า ขยับร่างกายอย่างฉับพลัน ความเร็วในการเคลื่อนที่เร็วปานสายฟ้า ปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิงเฟิงโดยตรง
เห็นเพียงเขาค่อย ๆ ง้างมือขึ้นมา ปล่อยมังกรกระบี่ออกมาห้าสาย มังกรกระบี่ทั้งห้าตัดสลับซึ่งกันและกัน ตัดเฉือนทุกอย่าง บดทุกสรรพสิ่งให้ละเอียด
พลังอมตะวิชาตราประทับที่หลิงเฟิงปล่อยออกมาถูกมังกรกระบี่ตัดจนแตกออกเป็นชิ้น ๆ มังกรกระบี่บินขึ้นลง ประกอบเป็นกรงขังหนึ่งกรง กักขังหลิงเฟิงไว้ด้านใน
“ข้าบอกแล้วว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่ท่านดันไม่เชื่อ แม้ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ท่านจะรู้สึกปวดร้าวใจและกลับไปทบทวนความผิดพลาดของตน ศักยภาพก้าวกระโดด แต่ข้าก็มิได้หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นกัน ศักยภาพยิ่งก้าวกระโดดมากกว่า!”
หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางพูด: “ศิษย์พี่ ท่านยอมแพ้ดีกว่า จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าทำท่านได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้มีเพียงจะทำลายความกลมเกลียวในสำนักเดียวกันของเรา”
หลัวซิวไม่ชอบคนอย่างหลิงเฟิงจากใจจริงเลย คนประเภทนี้มักจะรู้สึกว่าตนเองสูงส่ง หยิ่งยโสยกตนข่มท่าน อยู่สูงกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง ถ้าขายหน้าก็จะคิดตลอดเวลาว่าจะเหยียบหัวผู้อื่น กอบกู้ภาพลักษณ์หน้าตากลับคืนมา
เพราะเห็นแก่หน้าซุ๋นหวู่หยา หลัวซิวจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อเรื่องที่คนดังกล่าวมีจิตที่จะฆ่าตน แต่ทว่าหากคิดจะกอบกู้ภาพลักษณ์ด้วยการเอาชนะตนละก็ เขาจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
การฝึกยุทธ์ สิ่งที่ฝึกไม่ได้มีแค่ผลการผึกตนอย่างเดียวเท่านั้น ในขณะเดียวกันยังต้องมีการกลั่นจิต ซึ่งหัวใจนี้หมายถึงเจตนาเดิมของเรา ทันทีที่ทรยศเจตนาเดิมของตน ความคิดก็จะไม่เข้าถึงกัน และกลายเป็นอุปสรรคต่อการยกระดับแดนยุทธ์
อธิบายด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายก็คือ คนอย่างหลิงเฟิง ยิ่งตามใจเขา เขาก็จะยิ่งเหิมเกริม คิดว่าเจ้ารังแกง่าย กลับจะขี่หัวเจ้าอย่างจองหองพองขนยิ่งกว่าเดิม
“ตั่งง!”
เสียงระฆังดังก้องกังวาน หลิงเฟิงไม่สามารถใช้ศักยภาพของตนหลุดพ้นจากการพันธนาการของมังกรกระบี่ทั้งห้านี้ ภายใต้สถานการณ์ที่จนตรอกเขาทำได้เพียงกระตุ้นระฆังอลวน ใช้พลังดิ้นให้หลุดพ้นจากการพันธนาการ
หลัวซิวไม่ได้ลงมือโจมตีต่อ แค่ค่อย ๆ ดึงฝ่ามือกลับมา หกระเหินเดินฟ้าในทันที และมุ่งหน้าเดินตรงไปยังตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำตัวเอง
ระฆังอลวนลอยอยู่เหนือหัวหลิงเฟิง ใบหน้าหม่นหมองถึงขั้นสุด แต่เขากลับไม่ได้ดันทุรังไล่ตามไป เพราะจากการลองทดสอบหยั่งเชิงในเมื่อกี้นี้ เขาก็ทราบแล้วว่าเมื่อศักยภาพของตนอยู่ในแดนเดียวกันกับหลัวซิว เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิวอยู่ดี
“ข้าคือศิษย์พี่ใหญ่ของเขาสุดหล้าต่างหาก จะทนต่อผู้ที่มีพรสวรรค์ศักยภาพแข็งแกร่งกว่าข้าได้อย่างไร?”แววตาของหลิงเฟิงเป็นประกายอย่างไม่แน่วแน่
เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากอยู่ในแดนเดียวกันแล้วตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว เช่นนั้นในอนาคตหลังจากที่ผลการฝึกตนของหมอนั่นอยู่แดนเดียวกันกับตนเมื่อไหร่ ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของเขาก็ยากที่จะรักษาไว้ได้
หากจะรักษาตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของตนเอาไว้ ก็มีอยู่เพียงสองวิธีเท่านั้น วิธีแรกคือได้รับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ มีศักยภาพที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ถึงครานั้นเขาก็จะสามารถมองเหยียดคนอื่น ๆ ได้ ดำรงอยู่ในตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ต่อไปอย่างมั่นคง
ในส่วนของอีกวิธีหนึ่งนั้น ก็คือรีบใช้โอกาสที่หมอนั่นยังไม่เติบใหญ่ กำจัดเขาทิ้งตอนนี้!
“อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเปิดโลกเซียนเสวียนเทียนแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยหาโอกาสกำจัดมันทิ้ง!”ครั้งนี้หลิงเฟิงมีจิตใจที่จะฆ่าแล้วจริง ๆ ในส่วนลึกของแววตาถึงกับมีรังสีสีเลือดกระพริบผ่านไป
หลังจากที่หลัวซิวและหลิงเฟิงต่างจากไปแล้ว ฮู๋เยว่เซิงและชูเหยียนชิวที่ยังไม่ไปไหนต่างอดไม่ได้ที่จะมองตากันและกัน