มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1160
“ถูกต้อง แม้นจะแบ่งออกเป็นห้าส่วน เพียงสองส่วนย่อยก็เพียงพอที่จะทำให้ข้าบรรลุถึงแดนเทพมารขั้น 3 แล้ว!”
ชายที่รูปร่างเหมือนคนวัยกลางคนหัวเราะฮ่า ๆ เสียงดัง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลการฝึกตนเดิมของเขาอยู่ที่แดนเทพมารขั้น 2
และในตอนนี้เอง ยักษ์แก้วเทวก็คำรามเสียงดังลั่น แล้วพุ่งตรงเข้าไปฆ่าชายวัยกลางคนนั่น เหนือศีรษะของคนดังกล่าวมีตราประทับหนึ่งบินออกไป ก่อนจะมีเสียงกวงดังขึ้น ตราประทับดังกล่าวพุ่งชนเข้ากับกำปั้นของยักษ์แก้วเทว
“แคว็ก!”
ตราประทับแตกร้าวคาที่ รอยแตกร้าวแผ่กระจายออกไปอย่างแน่นหนา อัญมณีแห่งเทพมารชิ้นนี้ถูกกำปั้นของยักษ์แก้วเทวกระแทกจนถึงกับเสียหายหนัก พลังน่ากลัวเป็นอย่างมาก
เมื่อหลัวซิวเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เขาก็รู้สึกตะลึงจนพูดไม่ออก อานุภาพของหมัดหมัดหนึ่งก็สามารถทำลายอัญมณีแห่งเทพมารได้แล้ว ร่างกายของยักษ์แก้วเทวตัวนี้สามารถเทียบทัดกับผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างเทพมารช่วงหลัง
เดิมทีเขายังคิดอยู่เลยว่าแค่ใช้ศักยภาพความสามารถของตน ก็น่าจะสามารถกำราบยักษ์แก้วเทวตัวนี้ได้แล้ว แต่ทว่าเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ในเมื่อกี้นี้ เขาถึงจะรู้ว่าตนดูถูกฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป ศักยภาพของเขายังมีไม่มากพอที่จะไปต่อกรกับเทพมารช่วงหลังได้
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……
เทพมารทั้งห้าคนนั้นโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้กับร่างกายของยักษ์แก้วเทวได้ แต่ทว่าทุกการโจมตีของพวกเขา ก็ทำให้ออร่าของยักษ์แก้วเทวตัวนี้อ่อนลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ยักษ์แก้วเทวตัวนี้คือแก้วเทวที่ใหญ่มหึมากำเนิดธาตุทิพย์ ขอเพียงทำลายสิ่งที่แฝงซ่อนอยู่ในแก้วเทว มันก็จะคืนสภาพสู่แก้วเทวที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารใช้มากลั่นแปรเพื่อเพิ่มผลการฝึกตน
“สองฝ่ายยืดเยื้อแย่งชิงผลประโยชน์กัน มือที่สามฉวยโอกาสคว้าเอาไปครอง ครั้งนี้ข้าขอเป็นมือที่สามนั่นเอง!”
หลัวซิวหยีตาลงพลางซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไกล แม้จะผ่านศึกครั้งยิ่งใหญ่มาหนึ่งรอบ ออร่าของยักษ์แก้วเทวลดลงไปไม่น้อย แต่ทว่าเทพมารทั้งห้าคนนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก สีหน้าของแต่ละคนขาวซีด ผลการฝึกตนลดลงไปเยอะมาก
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นเขาก็จะเป็นมือที่สามรอฉวยโอกาสได้อย่างง่ายดาย
“อย่างไรข้าก็เคยปลิดชีพเทพมารคนหนึ่งในสำนักเซียนไร้เจตสิกมาแล้ว กำจัดอีกห้าคนก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก!”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงเริ่งจัดวางค่ายกลไว้บริเวณรอบ ๆ
ภายในโลกเซียนเสวียนเทียน อานุภาพของค่ายกลระดับเทพก็ถูกกดอัดให้น้อยลงเช่นกัน เพราะฉะนั้นค่ายกลที่หลัวซิวจัดวางล้วนเป็นค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9
มาตรแม้นว่าเป็นค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แต่ถ้าหากจำนวนค่ายกลมีเยอะมากพอ ภายใต้การปะทุที่พร้อมเพรียงกัน อานุภาพของมันก็ทรงพลังมาก ๆ
แม้ผลการฝึกตนของคนหลายคนต่างถูกกดอัดลงมาที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่ทว่ากำลังรบกลับสามารถเทียบทัดกับเทพมาร ถึงอย่างไรร่างเนื้อและผลการฝึกตนของพวกเขาล้วนถูกกดอัดแล้ว ค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ก็ยังสามารถสร้างภัยคุกคามให้พวกเขาไม่น้อยอยู่ดี
“ทุกท่าน! กระตุ้นตัวสำนึกพร้อมกัน ทำลายธาตุทิพย์ของยักษ์แก้วเทวตัวนี้ทิ้งซะ!”
ไม่รู้ศึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ในครั้งนี้ดำเนินการไปนานเท่าไหร่ ชายชราเทพมารที่ศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดตะคอกเสียงดังพรวดราด รวมพลังแห่งตัวสำนึกไปตรงหว่างคิ้ว เผยให้เห็นรัศมีเทวที่แวววาวขั้นสุดกระพริบ
ภายใต้การรุมโจมตีของพวกเขา ทำให้ศักยภาพของยักษ์แก้วเทวลดลงไปเยอะมาก
เทพมารทั้งห้ากระตุ้นตัวสำนึกพร้อมกัน กลายเป็นรัศมีเทวที่แวววาวจับตาห้าดวง เหมือนดั่งกระบี่เทว ทิ่งแทงเข้าไปกลางหว่างคิ้วของยักษ์แก้วเทว
“โฮกก!”
ยักษ์แก้วเทวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว รู้สึกไม่ยอมที่ธาตุทิพย์ของตนถูกทำลาย มันพยายามต้านทานอย่างสุดความสามารถ
“เวลานี้แหละ!”
แววตาของหลัวซิวที่ซ่อนอยู่ในที่ลับเป็นประกายขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับหยิบวิกลหนึ่งออกมา
“ผู้ใด?”
ชายชราเทพมารที่เป็นผู้นำหันขวับกลับมา สายตาดุจคบเพลิง จ้องเขม็งมาทางจุดซ่อนตัวของหลัวซิว
เสี้ยววินาทีที่เขาหยิบวิกลออกมา มีคลื่นออร่าหนึ่งปรากฏ ชายชราคนนี้ก็สัมผัสได้ในชั่วพริบตาเดียว พอจะมองเห็นจิตทิพย์ที่ว่องไวและเฉียบแหลมของเขาได้เลย
“ตู้มม……”
ภายในชั่วขณะ สีลมเมฆฟ้าดินก็เปลี่ยนไป หลัวซิวสลักวาดลายค่ายไว้บริเวณรอบ ๆ นี้เยอะมาก พลานุภาพของค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 สิบกว่าค่ายปะทุออกมาพร้อมกัน
อานุภาพกระบี่นับหมื่นที่เกรียงไกร เปลวไฟลุกโหม น้ำหลากสูงเทียมฟ้า เสียงฟ้าร้องที่ดังจากทุกสารทิศ เสียงลมคำราม ตรีภพดับสูญ……