มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1165
“ต่อให้เทพฟ้ามาพร้อมกับอัญเทพฟ้า แต่เมื่อผลการฝึกตนถูกกดอัดลงมาที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ และปะทะกับยักษ์แก้วเทวที่สูงสามหมื่นกว่าเมตร ก็ต้องได้ตายอย่างอนาถจนทนดูไม่ได้แน่นอน”
หลัวซิวเคลื่อนไหวไปมาอยู่ภายในโลกเซียนเสวียนเทียน ตามหาสมุนไพรเพิ่มพลังรวมไปถึงวัตถุดิบในการกลั่นอาวุธมาได้ไม่น้อย โดยเฉพาะสมบัติของเทพมารทั้งห้าคนที่เขาถูกกำจัด และแก้วเทวของยักษ์สูงสามร้อยกว่าเมตรนั่น ทุกอย่างนี้แทบจะอยู่เหนือการคาดหมายของเขาหมดเลย
ทันใดนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าลง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยื่นมือออกไปคว้าบางอย่างไว้ ก่อนที่ภูเขาลูกใหญ่จะถูกเขาถอนรากถอนโคนออกมา โยนภูเขาลูกดังกล่าวออกไปข้าง ๆ อย่างชิลสบาย เสียงดังสนั่นเลื่อนลั่น ฝุ่นควันตลบฟุ้งไปทั่ว
เห็นเพียงมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งบินขึ้นมาจากฐานด้านล่างของภูเขาลูกนี้ ความยาวของมันยาวสามร้อยกว่าเมตร ส่ายหัวสะบัดหางไปมาพลางคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
รอบกายของมังกรเหลืองตัวนี้มีออร่าของกฎธาตุดินตลบฟุ้งอยู่รอบ ๆ เห็นได้เลยว่ามันคือภูตดินหนึ่งดวงที่กำเนิดธาตุทิพย์ และกลายร่างเป็นมังกร
มังกรเหลืองลอยวนไปมาอยู่บนฟ้า ดวงตาที่กลมโตล็อคเป้าหมายมาที่หลัวซิวอย่างรวดเร็ว มันรู้แล้วว่าคนดังกล่าวเป็นคนที่พังทลายถิ่นที่อยู่อาศัยของตน มันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะโถมเข้ามาฆ่า
ออร่าของมังกรเหลืองตัวนี้ยิ่งใหญ่มาก มันแทบจะฝึกตนจนกลายเป็นเทพมารแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ผลการฝึกตนของทุกคนถูกกดอัด จึงมีน้อยคนมากที่จะสามารถกำราบมันได้
หลัวซิวยกมือขึ้นมาแล้วพลิกฝ่ามือ มีเตาเทพปรากฏกลางฝ่ามือ ภายใต้การยับยั้ง เห็นเพียงมังกรเหลืองที่ยาวสามร้อยกว่าเมตรตัวนี้ยิ่งอยู่ยิ่งเล็กลง ก่อนที่มันจะถูกดูดเข้าไปในเตาเทพจนเกิดเสียงดังซิ่ว ถูกกำราบไปเป็นที่เรียบร้อย
“ต้องปรับแก้พลังอมตะหมื่นจักรวาลไร้รูปของข้าให้สมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะพัฒนาพลังอมตะขึ้นมาได้ไม่น้อยแล้ว แต่ถึงอย่างไรพลังอมตะเหล่านั้นล้วนเป็นพลังที่ผู้อื่นริเริ่มคิดค้นขึ้นมา มิใช่พลังที่ข้าคิดค้นและสร้างขึ้นมาแต่อย่างใด”
เก็บภูตดินดวงนี้มา หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว: “หมื่นจักรวาลไร้รูปของข้า ไม่เพียงต้องสามารถก่อให้เกิดสรรพวิชาโดยไร้รูปเท่านั้น ยังต้องก่อให้เกิดพลังอมตะที่คิดค้นและสร้างขึ้นมาโดยตัวข้าเองด้วย และกลายเป็นมหาอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริง!”
หลัวซิวเข้าไปยังจุดที่ลึกที่สุดในโลกเซียนเสวียนเทียนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท่ามกลางอากาศอันว่างเปล่าที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีตำหนักสูงตระหง่านหนึ่งหลัง คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะปรากฏและหายไปเลือนลางไม่ชัดเจน
“วังเซียน!”
เมื่อเห็นตำหนักหลังนั้นแล้ว หัวใจของหลัวซิวก็สั่นคลอนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินก็มีตำหนักอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งกว้างใหญ่และสูงตระหง่าน แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับวังเซียนหลังนี้แล้ว กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ความใหญ่ของวังเซียนหลังนี้ บริเวณโดยรอบกว้างใหญ่กว่าพันไมล์ ความสูงก็สูงหลายพันไมล์เช่นกัน มหึมาดั่งเขาเซียนหนึ่งลูก กว้างโอ่อ่าไม่รู้เพียงใด
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สัมผัสได้แล้วเช่นกันว่ามีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยปรากฏอยู่บริเวณวังเซียนที่กว้างใหญ่นี้
กลุ่มคนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินที่มีผู้อาวุโสไท่ซ่างเป็นผู้นำ ต่างนำสายตาจับจ้องมาทางวังเซียนหลังนี้ด้วยแววตาที่ซับซ้อน
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินเป็นผู้แข็งแกร่งเจ้านภา ใช้อัญเทพฟ้า สำนักเต๋าเสวียนเทียนเปิดทางเหนือนภา เพราะฉะนั้นตัวเขาจึงไม่สามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้
แต่ทว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินกลับไม่ได้มีเทพฟ้าเพียงคนเดียว ผู้อาวุโสไท่ซ่างเหล่านี้ก็เป็นเทพฟ้าเช่นกัน ซึ่งมีทั้งหมดหกคน!
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้า ถึงแม้ผลการฝึกตนจะถูกกดอัดลงมาที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งยิ่งใหญ่อยู่เช่นเคย จึงทำให้หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เบาบาง
“จากศักยภาพของข้าในตอนนี้ หากได้ปะทะกับเทพฟ้า แม้จะสามารถต้านทานได้บ้าง แต่ถ้าจะสังหารคู่ต่อสู้นั้นกลับทำได้ยากมาก ถึงอย่างไรในมือของเทพฟ้าเหล่านี้ก็น่าจะมีสมบัติแห่งเทพฟ้าอยู่ไม่น้อย ซึ่งสามารถตีเสมอกับเกราะเทพเวหากาลของข้าได้”
หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว“แต่ทว่าหากผลการฝึกตนของข้ามีการยกระดับ ไม่จำเป็นต้องถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขอเพียงบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง เช่นนั้นเทพฟ้าเหล่านี้ที่ถูกกดอัดอยู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ก็จะมิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“พูดตรง ๆ เลยว่าท้ายที่สุดแล้วผลการฝึกตนของข้าก็ยังต่ำเกินไปอยู่ดี”
ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้จะวางแผนลงมือปฏิบัติการคนเดียว แต่เป็นการหกระเหินขึ้นฟ้า ไปรวมตัวกับคนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน