มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1179
โลกเสวียนเทียนเวิ้งว้างไกลโพ้น ปีหนึ่งมีอัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันทุก ๆ ปีก็มีอัจฉริยะเสียชีวิตไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่เช่นกัน
เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ ยาก! ยากกว่าการเดินขึ้นสวรรค์!
ในจักรวาลสรรพโลกนี้มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายผู้ที่สามารถไต่ขึ้นจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์และมองสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกลงมาจากที่สูงได้นั้น กลับมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
“หลิงเฟิงตายไปแล้ว ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่จึงว่าง และต้องเลือกจากพวกเจ้าทั้งสาม”
ซุ๋นหวู่หยากวาดตามองดูหลัวซิวทั้งสามคนพลางเอ่ยปากพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ผู้อาวุโสทุกคนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินล้วนครอบครองเขาทิพย์ในเขตศูนย์กลางหนึ่งลูก เพื่อใช้ในการรับศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้แก่ศิษย์ของตน
เขาทิพย์ทุกลูกของผู้อาวุโสก็มีศิษย์พี่ใหญ่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่เป็นลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดในเขาทิพย์นั้น
ชื่อเสียงของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ฟังดูไพเราะอย่างเดียวเท่านั้น การได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่จะได้รับผลประโยชน์อยู่บ้าง ซึ่งนั่นก็คือสามารถได้รับการถ่ายทอดพลังอมตะหนึ่งจากผู้อาวุโสที่เป็นอาจารย์ของตน
ศิษย์ทั่วไป ถึงแม้จะเป็นคนในสายเลือดเดียวกันกับเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ก็เลือกได้แค่เหล่าพลังอมตะที่ระดับทั่วไปที่สุด
มีเพียงผู้อาวุโสที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร ถึงจะมีสิทธิ์ฝึกพลังอมตะที่ระดับสูงกว่านั้นหน่อย
หากแบ่งระดับของพลังอมตะเทพฟ้าออกเป็นระดับบนกลางล่างละก็ เช่นนั้นพลังอมตะที่ศิษย์ใจกลางจะได้ฝึกคือระดับล่าง ส่วนผู้อาวุโสเทพมารมีสิทธิ์ฝึกพลังอมตะระดับกลาง
ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าการได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ในเขาทิพย์ของผู้อาวุโส ก็จะมีสิทธิ์ฝึกพลังอมตะเทพฟ้าระดับกลาง!
ถึงแม้ระดับของมันจะเพิ่มขึ้นมาแค่ระดับเดียว แต่อานุภาพที่เพิ่มขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ต่างกรรมต่างวาระเปรียบเทียบไม่ได้
พลังอมตะขึ้นชื่อของซุ๋นหวู่หยาคือตราตรีภพ ซึ่งหลิงเฟิงก็ได้ฝึกฝนเรียนรู้พลังอมตะดังกล่าวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงฝึกเซ่นระฆังอลวนได้หนึ่งลูก และสร้างชื่อเสียงโด่งดังในหมู่คนยุคใหม่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์
“อ้างอิงตามกฎของสำนักศักดิ์สิทธิ์เรา ผู้ที่มีผลการฝึกตนและศักยภาพสูงที่สุดถึงจะมีสิทธิ์เป็นศิษย์พี่ใหญ่ พวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนประลองกันครั้งหนึ่ง แค่ประมือกันให้รู้แพ้ชนะก็พอ ห้ามให้อันตรายถึงชีวิต”ซุ๋นหวู่หยาพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
และในตอนนี้เอง หลัวซิวก้าวเท้าขึ้นไปหนึ่งก้าวอย่างฉับพลันแล้วพูด: “ลูกศิษย์มีความรู้ความสามารถไม่มาก ปัจจุบันผลการฝึกตนก็อยู่เพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 จึงไม่ขอช่วงชิงกับศิษย์พี่ทั้งสองท่านแล้วขอรับ”
สำหรับหลัวซิว พลังอมตะของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินไม่มีค่าอะไรในสายตาเขาเลย ดังนั้นเขาจึงไม่มีใจที่จะไปแก่งแย่ง
ซุ๋นหวู่หยาไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อเหตุการณ์นี้ เขาผงกหัวเบา ๆ แล้วพูด: “อาจารย์ได้ยินมาว่าเจ้าขายบัญชาอมตะทิ้ง ก็ทราบแล้วว่าเจ้าน่าจะมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดพลังอมตะจากที่อื่นแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ ก็กลับไปตั้งใจฝึกตนดี ๆ เถิด”
“ลูกศิษย์ขอกราบลาขอรับ”หลัวซิวก้มคำนับ ก่อนจะเดินออกจากสำนัก
แม้เขาและซุ๋นหวู่หยาจะอยู่ในนามอาจารย์ลูกศิษย์ แต่ในความเป็นจริงซุ๋นหวู่หยากลับไม่ได้ชี้แนะด้านการฝึกตนให้แก่เขา ส่วนสาเหตุที่ซุ๋นหวู่หยารับเขาเป็นศิษย์นั้น ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะช่าจื่อเยียน
จากการที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินมานานพอควร หลัวซิวก็ได้ยินเรื่องราวข่าวคราวมาไม่น้อย
ดูเหมือนความสัมพันธ์ในช่วงวัยเยาว์ระหว่างเจ้าศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวูซิน ซุ๋นซินเหลียน ซุ๋นหวู่หยาและช่าจื่อเยียนทั้งสี่คนจะค่อนข้างซับซ้อน
เฟิ่งหวูซินเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่วัยเยาว์ยุคนั้น หล่อเหลาใบหน้างามดุจหยก หญิงสาวจำนวนมากต่างรักใคร่ชื่นชม ซุ๋นซินเหลียนและช่าจื่อเยียนก็เป็นแบบเดียวกันเช่นกัน
ช่าจื่อเยียนในตอนนั้นถูกขนานนามว่าเป็นสตรีผู้ภาคภูมิอันดับหนึ่งของสวรรค์ และมีคนตามจีบนางนับไม่ถ้วน ซึ่งซุ๋นหวู่หยาคือผู้ตามจีบที่โดดเด่นอันดับต้น ๆ ในตอนนั้น
แต่ทว่าต่อมาเรื่องทุกอย่างก็จบลงโดยไม่มีข้อสรุปใด ๆ ในส่วนของรายละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้น หลัวซิวก็ไม่เคยได้ยินผู้คนพูดถึงอีกเลย
“พลังอมตะทั้ง 36 พลัง บัดนี้ข้าสามารถใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปอนุมานพลังอมตะทั้ง 36 ออกมาได้ 13 พลัง!”
ภายในถ้ำ หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิพลางจัดการกับสิ่งที่ได้รับมาจากการเพ็ญตน