มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1278
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1278
โลกเสวียนเทียน หยอดเขาหลักไท่เสวียน
เขาทิพย์นับสิบลูกที่อยู่ภายใต้การครอบครองของสำนักไท่เสวียน ตั้งอยู่ส่วนในของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน
ในระยะเวลาที่ผ่านมานี้ หลัวซิวสัมผัสได้อย่างคลับคล้ายคลับคลาว่ามีรัศมีพลังอันแข็งแกร่งหลายกลุ่มได้วกไปวนมาอยู่บริเวณใกล้เคียง ได้คอยเฝ้าติดตามทุกความเคลื่อนไหวในสำนักเขาไท่เสวียน อย่างใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา
“เมื่อตอนที่ข้าบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ อานุภาพของทัณฑ์สวรรค์อัสนีนั้นสามารถเทียบได้กับทัณฑ์อัสนีของมหาจักรพรรดิยุทธ์บรรลุแดนเทพมาร จักรพรรดิยุทธ์ขั้นสามทะลวงขั้นสี่ อานุภาพของทัณฑ์สวรรค์อัสนียิ่งสามารถทัดเทียมได้กับเทพมารขั้นกลาง มาตอนนี้ข้าจะทะลวงขั้นหกบรรลุขั้นเจ็ด เกรงว่าอานุภาพของทัณฑ์สวรรค์อัสนีคงจะถึงขั้นเทพมารระดับสูงสุด ไม่มีทางที่จะปิดบังได้เลย”
ภายในตำหนักวัฏสงสารมีวิชาห้ามค่ายกลปกคลุมเอาไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า ร่างแยกกฎชีวิตได้อยู่ที่นี่โดยไม่ถูกพบเห็นมาโดยตลอด เพราะเฟิ่งหวูซินคิดมาตลอดว่าเขาได้ไปจากโลกเสวียนเทียนแล้ว
หลัวซิวทราบเป็นอย่างดีว่า มีเพียงหาที่ซ่อนตัวที่สามารถรับทัณฑ์ได้อย่างวางใจ ร่างแยกกฎความตายที่อยู่ในโลกาอสูรฟ้าถึงจะกล้าทะลวงขั้นหกบรรลุขั้นเจ็ดได้
เขาไม่ได้ปล่อยตัวสึกของตนเองออกมา แต่ได้กระจายกระแสสัมผัสพลังชีวิตออกไป สัมผัสได้ว่าที่บริเวณใกล้เคียงสำนักเขาไท่เสวียน มีเทพมารเจ็ดคนได้คอยเฝ้าจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวในสำนักเขาไท่เสวียนอย่างไม่คาดสายตา
นี่ทำให้หลัวซิววางใจลงเล็กน้อย ขอแค่ไม่ใช่ตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าที่คอยจับตาดูที่นี่อยู่ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแอบไปจากที่นี่อย่างเงียบ ๆ โดยหลบพ้นจากกระแสสัมผัสของเทพมารทั้งเจ็ด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ได้ลุกขึ้นและเดินออกไปจากสถานที่ปิดขังตนเอง เก็บซ่อนกลิ่นอายของตนลงไปจนหมดสิ้น ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพฟ้า ก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงร่องรอยและพลังชีวิตบนร่างกายของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
นี่ก็คือความมหัศจรรย์ของกฎชีวิต หลัวซิวสามารถทำให้รัศมีพลังชีวิตของตนตกอยู่ในสภาวะที่เงียบสงบได้ และสามารถทำให้พลังชีวิตของตนเจิดจรัสเหมือนดั่งพระอาทิตย์ได้
เขาเดินออกมาจากตำหนักวัฏสงสาร ร่างของเขาเหมือนกับได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ นี่ก็คือการประยุกต์ใช้กฎปริภูมิ รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ
อาศัยประยุกต์ใช้กฎชีวิตและกฎปริภูมิทั้งสองกฎใหญ่ เขาคิดว่าหลบพ้นจากการสัมผัสของตัวสำนึกของเทพมารทั้งเจ็ด น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
เขาไม่ได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้ใด ไม่นานนักก็ได้ไปจากสำนักเขาไท่เสวียนเป็นที่เรียบร้อย เดินมุ่งหน้าออกไปยังด้านนอกสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน
ประตูของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินนั้นเป็นสถานที่สำคัญ ได้วางค่ายกลระดับเทพขั้นสี่ชั้นสูงเอาไว้ สามารถป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกลักลอบเข้ามาได้
ส่วนเฟิ่งหวูซินในฐานะที่เป็นจ้าวศักดิ์สิทธิ์ขของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน ห้วงความคิดของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินได้ เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ล้วนอย่าคิดที่จะรอดพ้นจากสายตาและการฟังของเขาไปได้
แต่ในมือของหลัวซิวนั้นมีป้ายประจำตัวของศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินอยู่ ตราบใดที่เจ้าไม่มีการเคลื่อนไหว ก็จะไม่ทำให้ค่ายกลมีปฏิกิริยาใด ๆ และก็จะไม่รบกวนไปถึงเฟิ่งหวูซิน
เดิมทีจากความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของเขา เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็สามารถลอยเหาะออกไปจากประตูสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินได้แล้ว ทว่ากลับใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า ๆ ถึงได้ออกมาจากประตูสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน เขาก้าวเดินอย่างระมัดระวัง อันตรายทุกย่างก้าว
หลังจากที่ออกมาจากประตูสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน เขาก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลนัก เงาร่างของเขาได้พุ่งไปในอากาศ ไม่นานก็ได้ออกมาไกลจากสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินแสนกว่าลี้
“กระแสสัมผัสของเทพฟ้าธรรมดาทั่วไปสามารถครอบคลุมตรวจจับได้ในระยะหมื่นถึงสามหมื่นลี้ ตัวสำนึกของเทพฟ้าช่วงกลางสามารถครอบคลุมได้ในระยะประมาณห้าหมื่นลี้ ตัวหยั่งรู้ของผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวนภาสามารถสัมผัสความเคลื่อนไหวครอบคลุมในระยะหนึ่งแสนลี้”
หลัวซิวไม่ได้หยุดอยู่ตรงนี้ แต่ได้เหาะเหินไปในอากาศต่อไป อย่างไรเสียความเคลื่อนไหวในการรับทัณฑ์ของเขานั้นรุนแรงเกินไป แม้ว่าจะอยู่ห่างจากสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินเป็นแสนลี้ เฟิ่งหวูซินก็สามารถสัมผัสได้
สุดท้ายเขาก็ได้หยุดลงในสถานที่รกร้างที่อยู่ห่างจากสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินสองล้านกว่าลี้ เมื่อมั่นใจว่าในบริเวณใกล้เคียงไม่มีนักยุทธ์คนอื่นอยู่อีก ถึงได้เลือกสถานที่เหมาะสมแล้วนั่งขัดสมาธิลง และปรับสภาพร่างกายของตนให้อยู่ในขั้นสูงสุด