มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1413
เขากำลังจะคิดอยู่ว่าหากผู้อื่นทราบเรื่องนี้เข้า คาดว่าคงต้องพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแน่นอน เนื่องจากทัณฑ์สวรรค์ระดับนี้เพียงพอที่จะสามารถฆ่าเทพฟ้าคนหนึ่งได้แล้ว หากเปลี่ยนเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 คนอื่นที่เป็นผู้ข้ามผ่านทัณฑ์ จุดจบคงต้องดับสลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างแน่นอน แต่เขากลับยังอยากให้พลานุภาพของทัณฑ์สวรรค์ทรงพลังมากกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ?
และตอนนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเทพเสียงหนึ่งดังมาจากส่วนลึกของห้วงดารา ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธที่จางหายไปแล้วในตอนแรก ถึงกับกลับมาบ้าระห่ำอีกครั้ง สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าสลับกันไปมา ผนึกรวมเป็นระลอกคลื่นสายฟ้าขนาดใหญ่
“เกิดอะไรขึ้น?”
นักยุทธ์จำนวนมากในโลกแสงดาวต่างถอยไปถึงตำแหน่งที่ห่างออกไปไกลหลายหมื่นไมล์แล้ว แสงสายฟ้าที่แวววาวจับตาปกคลุมทุกสิ่งอย่างเอาไว้ พวกเขาจึงมองไม่เห็นเงาร่างของหลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงกลางทะเลสายฟ้ามาโดยตลอด
“มีคนคนหนึ่ง!”
หลังจากที่สายฟ้าทั้งหมดรวมตัวเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ ลอยอยู่เหนือนภาแล้ว เงาร่างของหลัวซิวก็ปรากฏอยู่ในสายตาผู้คน
ผู้คนต่างอุทานอย่างตะลึง แต่ทันใดนั้นเองก็มีคนอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากระลอกคลื่นสายฟ้าขนาดใหญ่นั่น
มีสายฟ้าสีทองหม่นวนอยู่รอบกายเงาร่างคนที่สองที่ปรากฏตัวออกมา ใบหน้าของเขาเลือนลางไม่ชัดเจน ดวงตาคู่หนึ่งกำลังกวาดตามองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า และมีรอยยิ้มปรากฏตรงมุมปากเล็กน้อย
“มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 บรรลุสู่เทพมาร ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธที่ล่อมาเทียบเท่ากับเทพมารบรรลุสุเทพฟ้า ดูท่าเจ้าน่าจะเคยได้โอกาสที่ไร้เทียมทานมาก่อนสินะ พรสวรรค์ศักยภาพแข็งแกร่งมากถึงมากที่สุด หากสามารถครอบครองร่างกายเจ้า สืบทอดทุกสิ่งอย่างของเจ้าต่อไป อนาคตข้าก็จะสามารถบรรลุกลายเป็นราชาเทพได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก และมีโอกาสบรรลุเป็นมกุฎเทพ ตลอดจนจ้าวมหาเทพสูงมาก ๆ!”ผู้ที่เดินออกมาจากระลอกคลื่นสายฟ้าหัวเราะดังลั่นอย่างหยิ่งผยอง
“เจ้าเป็นเทพฟ้าผู้บุกเบิกโลกแสงดาวสินะ?”รูม่านตาของหลัวซิวหดลงไปเล็กน้อย
“ถูกต้อง ตราชีวิตของข้าผสมรวมกับกมลโลกาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ซึ่งเท่ากับผสมรวมกับกฎฟ้าดินแล้ว ในขณะที่เจ้าบรรลุสู่แดนเทพมารและเกิดความรู้สึกร่วมกับตราชีวิดั้งเดิม ข้าสามารถพึ่งพาพลังจากกฎฟ้าดินมายึดครองกายาเจ้าได้”
“หากข้ามิได้บุกเบิกโลกแสงดาว เจ้าก็จะไม่มีวันได้กำเนิด ในเมื่อข้าเป็นผู้สร้างเจ้า เช่นนั้นเรื่องการหมุนเวียนของเหตุและผล ก็ต้องใช้กายาของเจ้ามาชดใช้เหตุและผลนี้!”
เทพฟ้าโบราณคนนี้เงียบสงบมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนแล้ว วินาทีในที่สุดเขาก็ตามหาคู่ที่เหมาะกับการยึดของร่างมากที่สุดสักที สีหน้าท่าทางของเขาจึงดูตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
“ข้าเทพฟ้าซิงหยูคอยมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็คอยจนวันกำเนิดใหม่มาถึงสักที!”
เขาจ้องเขม็งไปทางหลัวซิว พลางพูดอย่างเย็นชา: “ภายใต้การกดอัดของกฎเกณฑ์ในพิภพ ในพิภพต่ำไม่มีทางมีเทพฟ้ากำเนิด แต่ทว่าเนื่องจากโลกใบนี้เป็นโลกที่ข้าบุกเบิกขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เมื่อข้าปรากฏตัวโดยการอาศัยกฎฟ้าดิน จึงทำให้ไม่ถูกกฎเกณฑ์ภายในพิภพกดอัด และมีศักยภาพระดับเทพฟ้า!”
“ในยุคสมัยอันไกลโพ้น อดีตข้านั้นเคยอยู่ในแดนเจ้านภา เจ้าทราบหรือไม่ว่าความแตกต่างระหว่างเทพมารและเจ้านภานั้นต่างกันมากเพียงใด?”
ลักษณะท่าทางของเทพฟ้าซิงหยูเหมือนกุมชัยชนะไว้ในมือแล้วยังไงอย่างนั้น
“เจ้าดีใจเร็วเกินไปหรือเปล่า”หลัวซิวกระตุกยิ้มมุมปาก“เจ้าก็ลองยึดครองร่างข้าดูสิ?”
“เจ้านี่ช่างโอหังเสียจริง”
เทพฟ้าซิงหยูแสยะยิ้มเยือกเย็นอย่างดูหมิ่น“ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้ามีกลอุบายอะไรกันแน่ถึงได้มั่นใจเช่นนี้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เทพฟ้าซิงหยูก็กลายเป็นลำแสงหนึ่ง หายเข้าไปในห้วงจักรหยั่งรู้ของหลัวซิวในชั่วพริบตาเดียว
ในตัวหยั่งรู้ที่มืดครึ้ม เงาร่างของเทพฟ้าซิงหยูปรากฏออกมา จากนั้นเขาก็กระโจนเข้าไปจุดศูนย์กลางตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวอย่างรวดเร็ว
ตัวหยั่งรู้ที่มืดครึ้มดุจตรีภพ ในเขตพื้นที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของตัวหยั่งรู้ มีช่องจิตที่แวววาวจับตาดวงหนึ่งกำลังลอยอยู่ตรงนั้น
หลัวซิวผนึกรวมช่องจิตขึ้นมาได้ตั้งนานแล้ว อีกทั้งแดนของตัวสำนึกวิญญาณก็บรรลุถึงเทพมารขั้น 9 ขั้นสูงตั้งนานแล้ว ช่องจิตของเขาฝั่งหนึ่งสีดำ ฝั่งหนึ่งสีขาว เหมือนวงล้อชีวิตขนาดเล็กยังไงอย่างนั้น ยับยั้งอยู่จุดศูนย์กลางของความคิดตัวหยั่งรู้
อีกทั้งช่องจิตของเขาและลูกแก้วความเป็นตายผสมรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว มีพลังออร่าของกฎสองระดับความเป็นตายวนเวียนอยู่บริเวณรอบ ๆ ตลอดเวลา