มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1414
“โครมคราม……”
หมอกสีเทาที่ปกคลุมอยู่ในตัวหยั่งรู้เริ่มซัดกระหน่ำ พลังตัวสำนึกที่มากมายมหาศาลเริ่มเข้าไปรวมตัวกันที่กลางช่องจิตอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ผนึกรวมจนกลายเป็นแก่นแท้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นรูปร่างของหลัวซิว
ตรงหว่างคิ้วหลัวซิวมีช่องจิตความเป็นตายฝังอยู่ ดุจตรากฎ พลังออร่ายิ่งใหญ่มหาศาลดุจเทพเจ้า
เทพฟ้าซิงหยูพุ่งเข้ามาฆ่า สีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย“เจ้าเพิ่งบรรลุถึงเทพมาร แต่ตัวสำนึกวิญญาณกลับบรรลุถึงแดนเทพมารขั้นสูงแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หลัวซิวไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เขาหกระเหินเดินฟ้า ยื่นฝ่ามือออกไป กลายเป็นวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด
นี่เป็นการปะทะกันของวิญญาณดั้งเดิมในตัวหยั่งรู้ ซึ่งมันอันตรายมากถึงมากที่สุด หากมีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว จุดจบของการปะทะในครั้งนี้ก็คือดวงวิญญาณดับสลายสูญสิ้น
ปัจจุบันผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนเทพมารแล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถควบคุมลูกแก้วความเป็นตายเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้ แต่กลับสามารถใช้มันมาป้องกันตัวเมื่ออยู่ในตัวหยั่งรู้
ฝ่ามือของเขากลายเป็นวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพและหมุนอย่างบ้าคลั่ง พลังแห่งการดูดกลืนที่มากมายมหาศาลแผ่กระจายออกไป ครอบคลุมร่างเทพฟ้าซิงหยูเอาไว้
เทพฟ้าซิงหยูนั่นเสียชีวิตตั้งแต่ยุคโบราณที่ผ่านมายาวนานอย่างไม่รู้จบ เขาในปัจจุบันเป็นเพียงกายเศษวิญญาณที่ประกอบจากการรวมตัวกันของตราชีวีและกฎฟ้าดิน มีเพียงยึดครองร่างสำเร็จ เขาถึงจะได้รับการกำเนิดใหม่ หากล้มเหลว ตราชีวีของเขาก็จะจมดิ่งสู่ความเงียบสงบใหม่อีกครั้ง
“นี่มันพลังอะไรกัน?”
สัมผัสได้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังถูกพลังที่มากมายมหาศาลพลังหนึ่งพันธนาการไว้ สีหน้าของเทพฟ้าซิงหยูจึงเปลี่ยนไปมาก
ร่างกายของเขาลอยขึ้นฟ้าอย่างควบคุมไม่ได้ ฝ่ามือของหลัวซิวกลายเป็นวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพพุ่งตรงเข้าไป ราวกับว่าพลังดังกล่าวมีความเร้นลับที่ลึกซึ้งที่สุดของกฎดั้งเดิมแฝงซ่อนอยู่ยังไงอย่างนั้น ซึ่งอยู่เหนือขอบเขตที่เขาสามารถเข้าใจได้
“ไม่! ……”
เทพฟ้าซิงหยูตะโกนเสียงดังลั่น ตราชีวิของเขาเงียบสงบมาหลายปีอย่างไม่รู้จบ กว่าจะรอคอยโอกาสในการยึดครองร่างผู้อื่นมาถึงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกอย่างผู้ที่เขาจะทำการยึดครองร่างยังเป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพไร้ขอบเขตอีกด้วย หากทุกอย่างพังทลายไป ณ บัดนี้ เขาไม่ยอม!
“จ่างเทียนเต้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่นอน! ……”
เสี้ยววินาทีที่เทพฟ้าซิงหยูถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกลืนกิน ใบหน้าเขาดูดุร้าย สีหน้าอารมณ์เคียดแค้น สาปแช่งหลัวซิวเป็นครั้งสุดท้าย
“เป็นเพียงเทพฟ้ากระจอก ๆ ก็นึกจะยึดครองร่างข้า ช่างไม่รู้จักความเป็นความตายจริง ๆ!”
สีหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก เขาค่อย ๆ ชักฝ่ามือกลับมา ตรงฝ่ามือมีวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพขนาดเล็กหมุนไปมา ราวกับฐานหินกลมที่รองรับตัวโม่บดขยี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้จิตสำนึกของเทพฟ้าซิงหยูถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงพลังอันบริสุทธิ์ของสารพลังชีวิต
“จ่างเทียนเต้าคืออะไร? คือคนคนหนึ่ง?”
นึกย้อนกลับไปถึงคำสาปแช่งที่เคียดแค้นก่อนตายของเทพฟ้าซิงหยูนั่น ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะจับต้นชนปลายเรื่องนี้อย่างไร
แต่ทว่าเมื่อลองคิดในอีกมุมหนึ่ง เทพฟ้าซิงหยูนี่อยู่ในยุคสมัยอันไกลโพ้น มาตรแม้นว่าเบื้องหลังเขาจะมีที่พึ่งอะไร เขาก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันได้แน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก ในขณะที่เขากำลังใช้ลูกแก้วความเป็นตายบดทำลายจิตสำนึกของเทพฟ้าซิงหยูอยู่นั้น เขาก็สืบสาวเรื่องราวไปจนถึงจุดดั้งเดิม ก่อนจะพบเจอตำแหน่งที่ซ่อนของกมลโลกาในตราชีวีของเทพฟ้าซิงหยู
เขากำเนิดในโลกแสงดาว อีกทั้งสำนักไท่เสวียนก็มีรากฐานอยู่ในโลกแสงดาวเช่นกัน กาลเวลาในอนาคต เขาไม่มีทางคาดหวังให้ผู้อื่นฝึกตนจนถึงแดนเทพฟ้าแล้วถูกเทพฟ้าซิงหยูหมายตาไว้อย่างแน่นอน
หากจะระงับเรื่องนี้ให้จบสิ้นโดยสิ้นเชิง คงมีเพียงทำเช่นเดียวกับครั้นเมื่ออยู่ในโลกาอสูรฟ้า นั่นก็คือทำลายตราชีวิของเทพฟ้าซิงหยู และยึดกมลโลกาไป!
“ระดับความยากในการเปิดจุดลมปราณแรกยากมากที่สุด แต่ทว่าระดับความยากของการเปิดจุดลมปราณ 17 จุดที่เหลือจะลดลงไปเยอะมาก ๆ หากได้รับกมลโลกาของโลกแสงดาวละก็ ต่อให้เป็นกมลโลกาชั้นล่าง น่าจะเพียงพอต่อการเปิดจุดลมปราณที่ 2 ของข้าแล้วกระมัง?”
เงาร่างของหลัวซิวพุ่งทยานขึ้นฟ้า ยกมือทำให้สุญญากาศแตกละเอียดเป็นชิ้น ๆ และหนีเข้าไปในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ
บนพื้นดินที่รกร้างว่างเปล่าของอาณาจักรเหนือ ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จำนวนมากในโลกแสงดาวต่างมองหน้ากันและกัน สายฟ้าที่บ้าระห่ำบนนภาสูงค่อย ๆ จางหายไป ท้องฟ้ากลับมาปลอดโปร่งสดใสเหมือนเก่าอีกครั้ง
พวกเขาไม่ทราบแต่อย่างใดว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ไม่ทราบประวัติความเป็นมาข้ามผ่านเกณฑ์อยู่ ณ อาณาจักรเหนือ ต่อมาก็มีผู้แข็งแกร่งลึกลับคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาอีก เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้อยู่ในระดับความสูงที่เทพมารอย่างพวกเขาเกินจะคาดคะเนได้
……