มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1490
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1490
ได้ยินคำตอบของนายท่านตระกูลสวี หลัวซิวไม่ทราบว่าแสงดาวมูนคืออะไร แต่ทว่าสิ่งที่เขาสามารถยืนยันได้คือ ตำแหน่งที่ตั้งที่ตัวเองกำลังยืนอยู่นั้น เป็นทิศใต้ในโลกาดาราอุดร
“พวกเจ้าเคยได้ยินค่ายวาร์ฟล่องหนท่ีมุ่งไปสู่โลกะอัมพรเทวหรือไม่?”หลัวซิวถามอีกครั้ง
ทันทีที่พ่นคำพูดนี้ออกมา ใบหน้าของคนส่วนมากที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ดูงุนงง มีเพียงผู้อาวุโสอย่างนายท่านตระกูลสวีเท่านั้นที่รูม่านตาหดลง ดวงตาแก่ ๆ คู่นั้นที่ดูขุ่นมัวมีแสงสว่างไสวกระพริบ
“อดีตข้าเคยคบค้าสมาคมกับศิษย์ในสำนักของสำนักวัชรยักษ์คนหนึ่ง และบังเอิญเคยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับค่ายวาร์ฟล่องหน แต่ทว่าครั้นนั้นแค่เคยพูดถึงสั้น ๆ แล้วก็ผ่านไป หากผู้เพื่อนยุทธ์ต้องการสืบถามละก็ สามารถพักอาศัยอยู่ในตระกูลสวีของเราสักวันสองวันก่อนได้ ทางตระกูลสวีจะช่วยเจ้าสืบถามเอง”นายท่านตระกูลสวีกล่าวเช่นนี้
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาจะไม่เข้าใจความตั้งใจของนายท่านตระกูลสวีผู้นี้ได้อย่างไร? เขาอยากรั้งให้ตนอยู่ในตระกูลสวี เพื่อเป็นการข่มให้พรรคกระบี่ขนนกตกใจกลัว ให้พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“ข้ามิได้ตั้งใจจะปิดบัง แต่ทว่าข้าไม่ทราบรายละเอียดของเรื่องนี้จริง ๆ ทว่าข้าสามารถรับประกันได้ว่าภายในเวลาสามวัน ข้าจะช่วยผู้เพื่อนยุทธ์เสาะหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวได้อย่างแน่นอน”นายท่านตระกูลสวีตัดสินใจพลางตอบกลับ
“หากเป็นเช่นนี้ละก็ ข้าน้อยก็ขอขอบคุณด้วยนะ”
ถึงอย่างไรโลกาดาราอุดรนี้ก็กว้างใหญ่มากจริง ๆ และตนก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ด้วย การตามหาทั่วทุกสารทิศโดยไร้เป้าหมายนั้น ก็ยากที่จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน หากสามารถอาศัยอำนาจของตระกูลสวีช่วยตนสืบเสาะ มันก็เป็นทางลัดที่ไม่แย่เลยจริง ๆ
เมื่อได้ยินหลัวซิวตอบตกลง ก็มีความดีใจปรากฏบนใบหน้านายท่านตระกูลสวี รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที
สายตาของเขาจับจ้องไปทางฝั่งพรรคกระบี่ขนนก มีจิตที่จะฆ่าไหลออกมาจากดวงตาแก่ ๆ คู่นั้น ทำให้ผู้คนฝั่งพรรคกระบี่ขนนกต่างหวาดผวา เสียวสันหลังวาบ
“พรรคกระบี่ขนนกคอยสอดแนมหุบเขาทิพย์ของตระกูลสวี ยังต้องโปรดผู้เพื่อนยุทธ์ลงมือช่วยเหลือด้วยนะ”นายท่านตระกูลสวีหันไปคารวะก้มคำนับให้หลัวซิวอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
เขาสัมผัสได้อยู่ว่าบุคคลที่ความเป็นมาลึกลับผู้นี้อยู่ที่นี่ไม่นาน และทันทีที่ไม่สามารถจัดการเรื่องของพรรคกระบี่ขนนกได้ หลังจากคนดังกล่าวจากไปแล้ว ไม่ช้าก็เร็วตระกูลสวีก็ต้องประสบกับความเคราะห์ร้ายอยู่ดี
จุดประสงค์ที่แท้จริงของนายท่านตระกูลสวีก็คืออยากอาศัยพลังอำนาจของหลัวซิว ถอนรากถอนโคนผู้คนในพรรคกระบี่ขนนก
ความรู้สึกของการถูกผู้อื่นหลอกใช้เช่นนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เขาขมวดคิ้วพลางหันไปมองนายท่านตระกูลสวีรอบหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “หลังจากผ่านไปสามวัน หากคำตอบของตระกูลสวีไม่สามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปราณีแล้วกัน!”
เสี้ยววินาทีที่คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ พลังออร่าอันมหาศาลที่คาดเดาไม่ได้ก็แผ่ออกมาจากตัวหลัวซิว มีแสงสว่างโชติช่วงสีขาวดำสองสีรวมกันตรงหลังศีรษะหลัวซิว และกลายเป็นวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
“เผ่น!”
สีหน้าท่าทางของฮู๋ฉุนหยูเจ้าสำนักพรรคกระบี่ขนนกเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาตะคอกด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน เขาเป็นผู้ที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้าก่อนเป็นคนแรก หวังจะหลบหนีออกไปจากที่นี่
อย่างไรก็ตามห้วงอากาศฟ้าดินบริเวณนี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของหลัวซิว ความเร็วในการบินหนีของฮู๋ฉุนหยูดูรวดเร็วมาก ๆ แต่ทว่าในสายตาคนนอกเขากลับเหมือนกำลังย่ำอยู่กับที่ ถูกกฎปริภูมิกักขังโดยไม่รู้ตัว
วินาทีนี้ ทุกคนในพรรคกระบี่ขนนกล้วนรู้สึกเหมือนถูกเทพเจ้าแห่งความตายบีบคอไว้ยังไงอย่างนั้น พลังชีวิตจำนวนมากในร่างกายหายไป ผลการฝึกตนลดฮวบ แม้กระทั่งใบหน้าของพวกเขาก็แก่ชราลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน จนกระทั่งกลายเป็นกระดูกแห้งกรัง
แม้ว่าเขาจะไม่มีความโกรธแค้นอะไรต่อผู้คนในพรรคกระบี่ขนนก แต่ทว่าในโลกแห่งการฝึกยุทธ์มีกฎผู้อ่อนแอเป็นเนื้อ ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ได้กินเนื้อก้อนนั้นแต่แรกอยู่แล้ว สำหรับหลัวซิวนั้น การจะฆ่าคนคนหนึ่งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเขารู้สึกว่ามันคุ้มแก่การฆ่าหรือไม่
แก่นแท้ชีวิตและผลการฝึกตนทั้งหมดของเทพมารคนหนึ่งและมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกสิบกว่าคน ถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพดูดซับกลั่นแปรจนหมดสิ้น ทว่าแก่นแท้ชีวิตที่แปรเปลี่ยนเป็นผลการฝึกตนนั้นกลับเป็นน้ำน้อยแพ้ไฟสำหรับหลัวซิว ไม่มีประสิทธิผลใด ๆ
“หาที่พักที่เงียบสงบให้ข้าด้วย หากไม่มีเรื่องสำคัญ อย่าได้มารบกวนข้า”หลัวซิวเอ่ยปากพูดอย่างเรียบนิ่ง
ผู้คนในตระกูลสวีตะลึงจนสติล่องลอยไปตั้งนานแล้ว ในเวลาชั่วพริบตาเดียว ผู้คนในพรรคกระบี่ขนนกล้วนกลายเป็นกระดูกแห้งกรัง วิธีการเช่นนี้ช่างลึกลับน่ากลัวจนแม้แต่เทพเจ้าภูตผีปีศาจก็ยังคาดเดาไม่ได้ ทำให้สายตาของผู้คนในตระกูลสวีที่มองไปทางหลัวซิวล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพยำเกรงที่ไร้ขอบเขต
……