มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1643
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1643
แต่หยูจือโจวกลับท้าทายตระกูลจ้าว ตระกูลจู้ อีกทั้งยังมีสำนักกระบี่ฟ้ามกุฎทั้งหมดนี่ นับเป็นปาฏิหาริย์ที่เขายังมีชีวิตอยู่หลังจากถูกตามล่ามาหลายแสนปี
“มา ๆ ๆ รีบเล่าให้ข้าฟังที ว่าเหตุใดเจ้าจึงสังหารคนตระกูลจู้?” หยูจือโจวถามด้วยน้ำเสียงชื่นชมยินดีในความโชคร้าย
“ฆาตกร ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกข้า เขาสมควรตาย!” คำตอบของหลัวซิวเรียบง่ายและชัดเจน
“พูดได้ดี! ไอ้คนพวกนี้มันอวดดีตลอดเวลา เหตุใดคนอื่นจะฆ่าพวกมันไม่ได้ ในเมื่อพวกมันยังสามารถรังแกคนอื่นได้?” หยูจือโจวดูท่าจะมีความแค้นฝังลึกต่อคนของสามสำนักหกตระกูล
“มาทำความรู้จักกันใหม่เถอะ ข้านามว่าหยูจือโจว ถึงผลการฝึกตนของเจ้าจะไม่สูง แต่ใจกล้าสามารถสังหารคนของตระกูลจู้ได้ คุ้มค่าที่จะผูกมิตรกับข้าได้แล้ว” ทันใดนั้น หยูจือโจวก็ประสานมือหันเข้าหาหลัวซิวอย่างเป็นทางการ
แต่ในใจเขาไม่มีทางยอมรับว่า เป็นเพราะเขาถูกทุบตีอย่างรุนแรง จึงอยากรู้ชื่อเจ้าหนุ่มคนนี้ แล้วหาโอกาสแก้แค้นในภายหลัง
“ข้านามหลี่ยู่” หลัวซิวประสานมือพูดตอบ
“น้องชายหลี่ยู่ ถึงแม้ว่าข้าจะรู้วิธีไปจากหุบเขาผนึกปีศาจ แต่ก่อนอื่นเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บบางส่วนของผลการฝึกตน ต้องใช้เวลานานเพียงใด ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้”
หลังจากพูดจบ หยูจือโจวก็หลับตาเริ่มโคจรผลการฝึกตน แต่ตัวสำนึกของเขาที่ลอยอยู่ด้านนอกกลับตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เชื่อใจหลัวซิวอย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องนี้หลัวซิวก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แม้ว่าสัญชาตญาณของเขาจะบอกเขาว่าตาแก่คนนี้ไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร
สิ่งเดียวที่เขากังวลคือถ้าความแข็งแกร่งของหยูจือโจวฟื้นคืนกลับมา ด้วยผลการฝึกตนแดนมกุฎเทพของเขา เกรงว่าตนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริง
เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ เขาไม่ได้รอการฟื้นตัวของหยูจือโจว แต่กลับยืนขึ้นแทน ตั้งใจจะเดินสำรวจไปรอบ ๆ หากโชคดีเจอวิธีในการออกไปจากที่นี่ เช่นนั้นก็จะดีกว่ามากทีเดียว
บริเวณของหุบเขาผนึกปีศาจนั้นไม่เล็กเลย หลัวซิวเดินมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังหาจุดสิ้นสุดของหุบเขาผนึกปีศาจไม่เจอ ความเงียบสงัดน่าขนลุกอยู่รอบตัว อยู่ในสถานที่เช่นนี้สัก 2-3 วันยังพอได้ แต่ถ้านานเกินไป ก็เพียงพอที่จะทำให้คนคลั่งได้
“โครมคราม……”
ขณะที่เขากำลังขมวดคิ้วอยู่นั้น ก็มีเสียงดังโครมครามมาจากด้านหน้า จากนั้นเขาก็เห็นพายุปริภูมิขนาดใหญ่ราวกับมังกรพิโรจ กวาดทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง
ด้วยการหมุนตัวอย่างรวดเร็วของพายุปริภูมิ ลำแสงสีเงินพุ่งออกมาจากด้านใน ราวกับว่าถูกโยนออกมา ฉายแสงไปทั่วทั้งสี่ทิศ งดงามเกินบรรยาย
และในขณะที่หลัวซิวเห็นแสงสีเงินเหล่านี้ ใบหน้าของเขาดูประหลาดใจ และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้ถึงความปรารถนาของสำนักเต๋าเสวียนเทียน
“ก่อนนี้ตามหาจนรองเท้าเหล็กแทบขาดก็หาไม่เจอ ไม่คิดเลยว่าจะเจอโดยไม่ต้องพยายามเช่นนี้ เก็บมันมา!”
หลัวซิวยกมือขึ้นโบกสะบัด ตัวหยั่งรู้ภายในสำนักเต๋าเสวียนเทียนบินออกมา ประตูลัทธิเต๋าอันแปลกตาเปิดออก พลังแห่งการดูดกลืนก็ปะทุขึ้น ทันใดนั้น แสงสีเงินมากมายก็ถูกดูดกลืนเข้าไป กลั่นแปรหินแก้วปริภูมิ
เวลานี้ หลัวซิวใช้สำนักเต๋าเสวียนเทียนเก็บหินแก้วปริภูมิไปแล้วยี่สิบกว่าชิ้น พายุปริภูมิมหึมานั้นคงอยู่ต่อเนื่องเนิ่นนาน ค่อยๆ อ่อนกำลังลง ,จนกระทั่งสลายไปจนหมดสิ้น มันมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าและจากไปอย่างเงียบงัน
มีหินแก้วปริภูมิเหล่านี้ หลัวซิวกลับไม่รีบร้อนออกไปจากที่นี่แล้ว แต่ใช้หินแก้วปริภูมิเป็นอาหาร ทำให้สำนักเต๋าเสวียนเทียนวิวัฒนาการแทน
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เข้าใจกฎลึกลับภายในหินแก้วปริภูมิด้วย นำสิ่งนี้ไปเพิ่มพูนความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับการสัมผัสรู้ของกฎปริภูมิ
หลังจากผ่านไปสองเดือน สำนักเต๋าเสวียนเทียนวิวัฒนาการสำเร็จ กลายเป็นสีม่วงบริสุทธิ์ หลังจากการสังเวยแล้ว มันเต็มไปด้วยความเก่าแก่ ราวกับเป็นเครื่องรางที่เกิดขึ้นพร้อมกับสวรรค์และโลก
จากนั้น หลัวซิวก็ทดลองนำหินแก้วปริภูมิผสานเข้ากับปีกเทพมังกรครามยักษ์ไร้มลทิน สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ ปีกเทพมังกรครามยักษ์ มันสามารถรวมเข้ากับหินแก้วปริภูมิได้จริง ๆ และด้วยความก้าวหน้านี้ จึงได้บรรลุเป็นระดับราชาแห่งศัสตราวุธ