มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 176 แย่งชิงยันต์หยกขาว
บทที่ 176 แย่งชิงยันต์หยกขาว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ชายหนุ่มชุดดำปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา พลางพูดนิ่ง ๆ ว่า “ส่งยันต์หยกขาวที่อยู่กับเจ้ามา ข้าหวังว่า ข้าจะไม่ต้องพูดเป็นครั้งที่สาม”
ชายหนุ่มที่ยืนเผชิญหาอยู่นั้นกัดฟันและพูดว่า “ถ้าข้าส่งยันต์หยกขาวให้แล้ว เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่?”
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็สามารถไตร่ตรองได้อย่างชัดเจน ต่อให้ยอมยกยันต์หยกขาวให้ไป เพียงแค่ตนเองยังอยู่ที่นี่ ก็สามารถไปแย่งยันต์หยกขาวจากคนอื่นมาได้ ยังไงก็ยังมีโอกาส
“ได้” หลัวซิวพยักหน้า
เขาต้องการเพียงแค่ยันต์หยก ถ้าไม่ต้องต่อสู้ได้ก็จะเป็นการดี อย่างไรเขากับผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ ก็เกี่ยวพันกันเพียงแค่การแข่งขันเท่านั้น ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นกัน
“ให้เจ้า”
ชายหนุ่มตรงหน้าหยิบยันต์หยกขาวออกมา โยนมันไปทางหลัวซิว จากนั้นจึงหมุนตัวหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว
หลัวซิวเอื้อมมือไปจับยันต์หยกขาวไว้ และไม่ได้ตามชายหนุ่มคนนั้นที่เพิ่งหนีไป
“ในผู้เข้าร่วมการแข่งขันเกือบแสนคน มีแค่ครั้งนี้ที่เพิ่งได้รับยันต์หยกขาวหนึ่งชิ้น ยังตั้งเก็บอีกหลายชิ้นไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใด
หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่น แต่อยู่ ๆ นัยน์ตาก็พลันพลันสว่าง พึมพำขึ้นมาว่า “จอมยุทธ์พวกนั้นที่มีพลังแกร่งกล้า จะต้องรวบรวมยันต์หยกขาวได้มากแล้วแน่ ๆ ข้าเพียงแค่ต้องตามหาคนพวกคน ก็จะสามารถแย่งชิงยันต์หยกจำนวนมากได้ภายในครั้งเดียว หากทำเช่นนี้การรวบรวมยันต์หยกนั้นก็จะเร็วขึ้นมากทีเดียว”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวซิวก็ทำการกระจายกระแสสัมผัสของตนเอง มองหาบางคนที่มีลมหายใจแห่งพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง
สำหรับลมหายใจแห่งพลังชีวิตนั้น จะอยู่กับคนในระดับชั้นที่ต่ำกว่าจอมยุทธ์ใหญ่ หลัวซิวไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ แม้ว่าจะไปแย่งชิ่งมันมา ก็จะสามารถแย่งมาได้มากที่สุดแค่หนึ่งหรือสองยันต์หยก ซึ่งมันเป็นการเสียเวลาเปล่า
เพียงชั่วครู่ หลัวซิวได้กักเก็บพลังชีวิตแห่งผู้ฝึกยุทธ์สายสาม
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสามคนเดินมาพร้อมกัน อาจจะมีการทำข้อตกลงกันไว้แน่ ๆ พวกเขาร่วมกันต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าร่วมแข่งขันคนอื่น ๆ และแย่งชิงเอายันต์หยกขาว
เมื่อหลัวซิวปรากฏกายตรงหน้าผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสาม ชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งในกลุ่มนั้น กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “กล้าดีนี่ ถึงกล้าที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าเราทั้งสามคน”
ระหว่างการสนทนานั้น อีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็แยกออกมา และยืนรอบรอบตัวของหลัวซิวไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีไปได้
“ลงมือ!”
โดยไม่ได้ให้โอกาสหลัวซิวเอ่ยปากพูดอะไร ชายหนุ่มทั้งสามคนนั้นก็เผยรัศมีแห่งปราณแท้พรสวรรค์ออกมาจากร่างกาย สองคนนั้นคือผลการฝึกตนแห่งพรสวรรค์ชั้นสาม มีเพียงชายหนุ่มผิวคล้ำคนนั้นที่มีพรสวรรค์ระดับสี่
ท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ที่เข้าร่วมกันฝึกฝนร่วมแสนคนนั้น พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมินั้นมีเยอะที่สุด เปลวไฟดำแห่ง ผู้ฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์ที่อายุต่ำกว่าสามสิบ ตราบใดที่มีความสามารถเพียงพอและพรสวรรค์ของตัวเองนั้นไม่แย่ โดยทั่วไปก็ทำได้
ตามสถิติจากองค์กรนักล่ายุทธ์ นักยุทธ์พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมิที่เข้าร่วมการแข่งขันนั้น มีอยู่ราว ๆ แปดหมื่นกว่าคน นักยุทธ์พรสวรรค์ระดับกลางมีประมาณหนึ่งหมื่นกว่าคน จอมยุทธ์ใหญ่มีเพียงหลักพัน ผู้ฝึกจิตครึ่งและปรมาจารย์ฝึกจิตรวมกันมี เพียงแค่หลักสิบเท่านั้น
ในความจริง คนส่วนมากก็รู้กันดีอยู่แล้ว ผู้ที่จะสามารถเข้ารอบสิบคนสุดท้าย ย่อมเป็นหนึ่งในผู้คนหลักสิบเหล่านั้นอย่างแน่นอน
และตัวของหลัวซิวเอง คือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันหลักสิบที่ทรงพลังที่สุด ท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ร่วมแสนคนนั้นเอง!
ระหว่างการเพิ่มขึ้นของปราณแท้ ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ทั้งสามก็วิ่งเขามาทางหลัวซิว ทุกการโจมตีนั้นไร้ความปราณี กระบี่เป็นประกายและกระบี่ที่วาบวับ
แม้จะมีความเหนือกว่าด้านจำนวนคน แต่สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น กลับไม่ได้รู้สึกถึงการคุกคามแม้แต่น้อย
ในเวลาเพียงชั่วครู่ ร่างทั้งสามก็ลอยออกไปข้างหลัง เลือดสดปรากฏขึ้นบนมุมปากของพวกเขา
ไม่จำเป็นต้องให้หลัวซิวเอ่ยปาก ทั้งสามคนนั้นก็หยิบยื่นยันต์หยกขาวออกมาให้เขาด้วยตนเอง รวมทั้งหมดหกชิ้น
เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้ได้กำจัดอีกสามคนไปแล้ว
การแข่งขันเอาชีวิตรอดรอบแรกเพิ่งเริ่มต้นไม่ถึงครึ่งวัน และกลับมีคนถูกคัดออกไปแล้วไม่รู้กี่คน
คนที่ถูกคัดออกนั้นต่างเป็นนักยุทธ์พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมิ บางคนที่โชคดี ได้เจอกับยอดฝีมือเช่นหลัวซิว เขาเพียงแย่งชิงยันต์หยก แต่ไม่ได้ลงมือคนฆ่าหรือบังคับให้ออกจากการแข่งขัน
แต่ก็มีบางคนที่โชคไม่ดีนัก ไม่เพียงแต่จะไม่ทันแม้แต่จะได้ยอมมอบยันต์หยก พวกเขาก็จะถูกโจมตีและบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งถูกฆ่าตายไปเลย
ท้ายที่สุด แม้ว่าจะบดขยี้ยันต์หยกสีแดง การหายตัวนั้นก็ต้องใช้เวลาถึงห้าอึดใจ
แต่สำหรับผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ยอดฝีมือระดับพรสวรรค์ขึ้นไปนั้น ในเวลาห้าอึดใจสามารถทำอะไรได้มากมาย
ถึงแม้หลัวซิวจะฆ่าคนไปไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยที่จะไล่ฆ่าคนแบบสะเปะสะปะ มันคือหลักการของเขา
มีบางคนคิดว่า ผู้เข้าแข่งขันฝ่ายตรงข้ามนั้นคือศัตรู ก็จะทำการโจมตีและฆ่าทิ้งอย่างไร้ความปราณี และนี่ก็เป็นหลักการเช่นกัน
ต่างโลก ต่างแผนการ ต่างหลักการ ไม่มีสิ่งใดถูกผิด เพียงแค่นิสัยและใจกลางของโลกยุทธ์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ปัง!”
เสียงดังเกิดขึ้นกลางป่า มีการส่งความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังจิตออกมา
เมื่อหลัวซิวรับรู้ได้ถึงความผันผวนของพลังจิต เขารีบวิ่งไปในทันที และยืนจ้องมองมันจากระยะไกลบนกิ่งก้านของต้นไม้โบราณ
เห็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์หลายสิบคนในป่าไกลๆ กำลังต่อสู้ฟาดฟันฆ่ากัน ทักษะยุทธ์ต่าง ๆ อยู่นำออกมาใช้ ภาพตรงหน้านั้นวุ่นวายโกลาหลอย่างมาก
ผู้คนนับสิบนี้ ต่างก็เป็นจอมยุทธ์ใหญ่ผู้ปรีชาสามารถ ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีหนึ่งถึงสองคนที่บรรลุถึงระดับฝึกจิตครึ่ง เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มอันดับต้นๆ ในบรรดาและคนเลยทีเดียว
หนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่ง การสำนึกนั้นได้ตรวจสอบการเคลื่อนไหวรอบตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ การสำนึกก็สามารถสัมผัสได้ในทันที
“ทุกท่าน บางคนกำลังนั่งอยู่บนภูเขาดูเสือต่อสู้ คงพยายามจับปลามือเปล่า” ฝึกยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนนี้ก็ตะโกนทันที
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องกำจัดเขาก่อน!”
“ได้!”
“มาร่วมมือกัน แล้วพวกเราค่อยตัดสินผู้ชนะ”
ผู้คนนับสิบคนบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว ค่อย ๆ หยุดการต่อสู้ ผิวปากพร้อมมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของหลัวซิว
สองคนในนั้นคือนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่ง พวกเขาเคลื่อนไหวเร็วที่สุด การสำนึกได้กักขังหลัวซิวเอาไว้แน่น
เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว ในทางกลับกันกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้น
พลังกระบี่เย็นพุ่งเข้ามาตรงหน้า หลัวซิวกำหมัดชกออกไป ทำลายมันจนแหลกเป็นผุยผง
ทันทีหลังจากนั้น เขาเหยียดแขนขึ้นไปในอากาศ แม้ว่าเขาจะลอยตัวบนอากาศไม่ได้ แต่ก็สามารถก้าวกระโดดขึ้นไปในอากาศได้ จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปเพื่อฆ่านักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสอง
“การแผ่กระจายพลังจิตแท้ เขาก็เป็นนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่ง!”
นักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองเมื่อรับรู้ถึงพลังของหลัวซิว ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ระดับฝึกจิตครึ่งเหมือนกัน แต่ถ้าหากต่อสู้กันขึ้นมาจริง ๆ ระดับฝึกจิตครึ่งที่มีพลังจิตแท้นั้น พลังนั้นจะแข็งแกร่งกว่าระดับฝึกจิตครึ่งที่มีการสำนึกหลายเท่า
เพราะพลังจิตแท้สามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งมากกว่า ห่างชั้นจากปราณแท้จนไม่อาจเทียบได้
“กระบี่สังหาร!”
หลัวซิวสะบัดนิ้วขึ้น รังสีสังหารสีแดงเลือดก็รวมเข้าด้วยกันและกลายเป็นกระบี่วาบวับ ในขณะเดียวกันเจตนาการต่อสู้ของกระบี่สังหารก็ถูกปลดปล่อยออกมา ก่อให้เกิดลมพลังที่เฉียบคม พุ่งตรงไปยังผู้ฝึกยุทธ์ร่วมสิบคนตรงหน้า
“รังสีสังหารช่างน่ากลัวนัก ชายผู้นี้ฆ่ายอดฝีมือไปกี่คนแล้ว?”
นักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองนั้นสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่านี้ พลันประหลาดใจขึ้นมา เพราะพวกเขารู้สึกถึงพลังปราณของปรมาจารย์ฝึกจิต
อย่าบอกนะว่า ว่าเจ้าหนุ่มชุดดำตรงหน้าเคยฆ่าปรมาจารย์ฝึกจิต?
แต่ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีหนทางใหถอยกลับ คนหนึ่งคือน้ำแข็ง คนหนึ่งคือไฟ ทั้งสองรวบรวมวิชาที่ฝึกมาทั้งหมดเข้าโจมตีด้วยหวังปลิดชีพหลัวซิว
“ปึง!”
เห็นเพียงแค่หลัวซิวกวาดปลายนิ้วออกไป แสงกระบี่แห่งจิตสังหารที่ควบแน่นนั้น ก็ทำลายการโจมตีของนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองจนสิ้น
“อะไรกัน? เป็นไปได้อย่างไร?”
ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองตกใจสุดขีด ต่อให้อีกฝ่ายรวบรวมพลังจิตแท้ และพลังนั้นจะแข็งแกร่งมากว่าเขาทั้งสองคนรวมกันสักเพียงใจ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบดขยี้พวกเขาทั้งสองอย่างง่ายดายเช่นนี้
นักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนหนึ่งถูกจิตสังหารของหลัวซิวขังไว้ กระบี่สีเลือดพุ่งมาเพื่อฆ่า เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาเพื่อต่อต้านทันที
“ชิ้ง!”
กระบี่ยุทธ์ชั้นสูงไม่ได้ถูกหลัวซิวโจมตีจนสลายไปในทันที แต่ว่าพลังที่แข็งแกร่งนั้น กลับกระแทกเข้ากลับนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนนี้จนลอยออกไป เลือดพุ่งออกจากปากของเขา