มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1877
“เจ้าก็เป็นเพียงทาสรับใช้กระจอก ๆ คนหนึ่ง ชื่อและสมญานามของอาจารย์ข้าเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถเรียกตรง ๆ ได้อย่างนั้นหรือ?”
หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ภายในน้ำเสียงมีพลังแห่งตัวสำนึกที่ไร้รูปแฝงซ่อนอยู่ เขาจักยังดูไม่ออกได้อย่างไร คนดังกล่าวมาส่งจดหมายท้าประลองและคุณชายแห่งตระกูลตวนมู่อะไรนั่นที่เขาหมายถึงต้องมาด้วยความประสงค์ร้ายแน่นอน
ผลการฝึกตนของผู้ติดตามวัยกลางคนนี่ไม่ต่ำ การที่มีคุณสมบัติคอยทำกิจธุระอยู่ข้างกายตวนมู่ชางนั้น ก็มีผลการฝึกตนแดนกึ่งมกุฎเทพอยู่
แต่ทว่าภายใต้เสียงหึอันเยือกเย็นนั่นของหลัวซิว เขากลับรู้สึกว่าตัวหยั่งรู้ของตัวเองสั่นเทิ้ม รู้สึกเวียนศีรษะตาพร่ามัวขึ้นมาภายในพริบตา พลางอุทานคำว่าแย่แล้วในใจ
ที่พักของหลัวซิวคือชั้นสองของโรงเตี๊ยม เห็นเพียงเขายื่นมือออกไปแล้วกำมือทีหนึ่ง ชี่จิ้งหนึ่งก็ม้วนพัดจดหมายท้าประลองที่อยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก: “กลับไปบอกคุณชายอะไรนั่นของเจ้าว่าจดหมายท้าประลองนี้ ข้ารับไว้แล้ว!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ภายในน้ำเสียงของเขามีพลังโจมตีตัวสำนึกวิญญาณแฝงซ่อนอยู่อีกครั้ง ราวกับค้อนหนักอันหนึ่งทุบลงตัวหยั่งของรู้ฝ่ายตรงข้ามจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“อั่ก!”
ครั้งนี้ผู้ติดตามวัยกลางคนยิ่งต้านทานไม่ไหว ร่างกายบินออกไปจากชั้นสองภายในพริบตา กระเด็นออกจากโรงเตี๊ยมโดยตรง แล้วกระแทกลงตรงหน้าพวกตวนมู่ชาง
“สมน้ำหน้า! กระทืบได้สวยงามมาก!”
แม้จะมองไม่ชัดเจนว่าหลัวซิวลงมืออย่างไร แต่เมื่อเห็นทาสรับใช้ที่น่ารังเกียจนั่นกระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักเลือด จีเสี่ยวจื่อก็อยากปรบมือร้องสะใจอย่างอดไม่ได้
ในฐานะที่เป็นหลานสาวของจีเสวียนคง จีเสี่ยวจื่อเข้าใจบุญคุณความแค้นระหว่างท่านปูนางและตระกูลตวนมู่ดีมาก ๆ อย่างไรเสียเมื่อปีนั้นการที่ท่านปู่นางสามารถยืนสูงตระหง่านและมั่นคงดั่งขุนเขาอยู่บนจุดสูงสุดของวิถียาในมหาโลกายอดอัมพรได้นั้น พอจะพูดได้เลยว่าเขาค่อย ๆ เดินขึ้นมาบนตำแหน่งนี้โดยการเหยียบย่ำภาพลักษณ์หน้าตาของตระกูลตวนมู่
โดยเฉพาะในอดีตนางเคยได้ยินท่านปู่พูดถึงว่าทุกครั้งที่อาจารย์ในตระกูลตวนมู่มาท้าประลอง ฝ่ายตรงข้ามก็จะพ่ายแพ้อย่างไม่เหลือหลอ มาด้วยอารมณ์ที่เดือดดาลทุกครั้ง และจากไปอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม
ด้านนอกของโรงเตี๊ยม สีหน้าของตวนมู่ชางหม่นหมองถึงขีดสุด ตนให้ลูกน้องไปส่งจดหมายท้าประลอง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับขับไล่ทำร้ายลูกน้องเขาจนบาดเจ็บ นี่เป็นการหักหน้าตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคงไร้การอบรมสั่งสอนเช่นนี้หรือ? คนของข้าก็แค่ไปส่งจดหมายท้าประลอง เหตุใดจึงต้องลงมือทำร้ายผู้อื่นด้วย?”
ดั่งคำกล่าวที่ว่าจะตีหมาทั้งทีก็ต้องดูหน้าเจ้าของหมาก่อน ขั้นตอนแรกอย่างการส่งจดหมายประลอง จักทำให้พลังออร่าของตัวเองดูอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นถึงแม้จะไม่สนใจความเป็นความตายของลูกน้องคนนั้นก็ตาม ตวนมู่ชางก็จะอาศัยเรื่องนี้มาก่อการกบฏ
“เจ้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลตวนมู่อะไรนั่นน่ะหรือ?”
ชั้นสองของโรงเตี๊ยม เงาร่างของหลัวซิวปรากฏอยู่บนระเบียงทางเดิน เหล่ตามองตวนมู่ชางที่ยืนอยู่ด้านนอกลงมาจากที่สูง
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวยังมองเห็นหยุนเทียนหยูที่อยู่ข้างกายตวนมู่ชางด้วย นอกเหนือจากสองคนนี้แล้ว ยังมีคนที่มามุงดูอีกเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจากกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ
คนมาเยือนมีไม่น้อยเลยนี่!
หลัวซิวหรี่ตาลง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าการส่งจดหมายท้าประลองของตวนมู่ชางนั้น เขาได้เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามยังไม่มีความสามารถโค่นล้มอาจารย์ของตนเองได้ จึงผนึกเป้าหมายมาที่ตนเอง อยากโค่นล้มตนผ่านวิถียาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการกีดกันอาจารย์เขา
“ถูกต้อง ข้าคือตวนมู่ชางเอง ดูท่าเจ้าก็คือลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคง หลัวซิวสินะ”ตวนมู่ชางขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจต่อกิริยาท่าทางที่หลัวซิวยืนอยู่บนที่สูงกว่าแล้วเหล่ตาลงมาทางตัวเองมาก ๆ
“ข้ารับจดหมายท้าประลองของเจ้าเอาไว้แล้ว ในส่วนของหมาตัวที่เจ้าเพิ่งส่งมานั้น หลัวซิวข้าเคยพบเห็นรู้จักคนที่หยิ่งผยองและไร้มารยาทมาก่อน ทว่ากลับไม่เคยพบเห็นรู้จักหมาที่จองหองพองขนและยโสโอหังอย่างยิ่งมาก่อน เป็นเพียงทาสรับใช้กระจอก ๆ ตัวหนึ่งก็บังอาจเรียกชื่อและสมญานามของอาจารย์ข้าโดยตรง ไร้ซึ่งจิตใจที่เคารพนับถือ การที่ข้าไม่ฆ่ามันนั้นก็ถือเป็นการไว้หน้าตระกูลตวนมู่ของเจ้าแล้ว”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด