มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1880
นั่นเป็นความหวาดกลัวที่มาจากภูตอัคคีกลืนกิน สมัยที่ผลการฝึกตนของเขายังค่อนข้างต่ำ เขาก็กลั่นแปรภูตอัคคีกลืนกินสำเร็จแล้ว ต่อมาก็ฝึกพลังอมตะของภูตอัคคีร้อยแปรอีก ทำให้ค่อย ๆ บ่มเพาะภูตอัคคีกลืนกินจนกลายเป็นอัคคีระดับอัคคีเทพ
อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันกลับเป็นเพียงจุดยืนของภูตอัคคีดวงหนึ่ง ความสามารถในการเจริญเติบโตมีจำกัด ต่อมาผลการฝึกตนศักยภาพของหลัวซิวยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ภูตอัคคีดวงนี้จึงถูกเขาเก็บเข้าไปในโลกาจุดลมปราณ และเขาก็ไม่เคยใช้มันอีกเลย
จากผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเขา พลานุภาพของเพลิงทมิฬมรณาอันเรียบง่ายที่ผนึกรวมขึ้นมาจากกฎความตายก็ทรงพลังกว่าภูตอัคคีกลืนกินมาก ๆ แล้ว
ภายในจุดลมปราณแรกบนฝ่ามือข้างซ้าย เด็กทารกที่อยู่ในเสื้อเอี๊ยมคนหนึ่งร้องอุแว้ ๆ แล้วมีเพลิงอัคคีลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบ ๆ มันกำลังถ่ายทอดความปรารถนาอย่างหนึ่งสู่เจ้านายของมัน ความปรารถนาในการดูดกลืน!
ราวกับว่าตัวมันเองก็ทราบเช่นกันว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตัวเองไม่สามารถช่วยเจ้านายต่อสู้และฝึกตนได้อีกแล้ว มันกระหายที่จะวิวัฒนาการ สามารถเจริญเติบโต สามารถกลายเป็นสหายร่วมรบของเจ้านายได้
สัมผัสได้ถึงอารมณ์อันปรารถนาและกระตือรือร้นที่ถ่ายทอดเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจ หลัวซิวจึงรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
สาเหตุที่ภูตอัคคีถูกเรียกว่าภูตอัคคีนั้น ก็เป็นเพราะเพลิงอัคคีเช่นนี้กำเนิดธาตุทิพย์แล้ว
ถึงแม้ธาตุทิพย์ของภูตอัคคีกลืนกินจะไม่สามารถเทียบเคียงกับน้ำทิพย์ทมิฬจิ่วหยินของช่าจื่อเยียนได้ แต่อย่างไรซะมันก็อยู่กับหลัวซิวมาเป็นเวลานานมาก ๆ แล้ว ซึ่งสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับจิตใจเขาได้
แต่ทว่าภูตอัคคีดวงหนึ่งกลับอยากดูดกลืนอัคคีเทพดวงหนึ่ง ซึ่งระยะความต่างภายในนี้มันไม่สามารถใช้หลักการมาประมาณค่าได้
ทันทีที่ทั้งสองสิ่งพบกัน หลัวซิวแทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าภูตอัคคีกลืนกินจะหายวับไปในอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ภายในเสี้ยววินาที ในทางตรงกันข้ามมันกลับจะกลายเป็นปุ๋ยของอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์อีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นคือแม้แต่ตัวหลัวซิวเอง การที่เขาจะกลั่นแปรและหลอมรวมเข้ากับอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ดวงนี้นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แล้วจะนับประสาอะไรกับภูตอัคคีกลืนกินเล่า?
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด บางทีอาจจะเป็นเพราะความปรารถนาและความดื้อรั้นในการอยากดูดกลืนของภูตอัคคีกลืนกิน ทำให้หลัวซิวก็เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันกับมัน นี่จึงทำให้จิตใจเขาเกิดกิริยาท่าทางบางอย่างที่ค่อนข้างบ้าคลั่ง นั่นก็คือช่วยภูตอัคคีกลืนกินดูดกลืนอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ดวงนี้!
เขาจะกลั่นแปรอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์อัคคีเทพดวงนี้ต้องต่อต้านอย่างรุนแรงแน่นอน ต่อให้กลั่นแปรสำเร็จแล้ว ต่อไปก็ต้องใช้เวลานานมาก ๆ ถึงจะสามารถยึดกุมมันได้อย่างชำนาญคล่องแคล่ว
แต่ถ้าเกิดใช้ภูตอัคคีกลืนกินดูดกลืนมันละก็ หลัวซิวก็จะสามารถยึดกุมมันโดยสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งกว่านั้นคือมีความเป็นไปได้เสี้ยวหนึ่งที่อัคคีเทพที่ได้จากเพลิงอัคคีทั้งสองชนิดหลอมรวมกัน จะมีคุณสมบัติพิเศษของภูตอัคคีกลืนกินและอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์!
แม้ระดับของภูตอัคคีกลืนกินไม่สูง แต่การดูดกลืนและวิวัฒนาการ รวมไปถึงคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเผาไหม้สรรพสิ่งทั้งหลายให้ว่างเปล่าของมันนั้นกลับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่สูงส่งมาก ๆ
ในส่วนของคุณสมบัติพิเศษของอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์นั้น ก็คือมีพลานุภาพที่ดุดันของโลหิตฉกรรจ์ซ่อนอยู่ ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับตัวหยั่งรู้รวมไปถึงตัวธรรมของนักยุทธ์ มีประสิทธิผลทำนองเดียวกันกับการโจมตีวิญญาณ
อัคคีเทพชีวีของนักยาเซียนไม่ได้ใช้เพื่อกลั่นยาอย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำมาต่อสู้ได้เช่นกัน
อีกทั้งในอนาคตเมื่อนำสี่กฎใหญ่อย่างกฎการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลาหลอมรวมเข้ากับอัคคีเทพชีวีแล้ว สามารถกำเนิดอัคคีเทพที่เป็นเอกเลิศลบธรณีไม่มีสองของฟ้าดินผืนนี้แน่นอน!
“เจ้าแน่ใจแล้วจริง ๆ หรือ?”
จีเสวียนคงมองหน้าหลัวซิว “อัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์คือเพลิงอัคคีขั้นดำชั้นสูงเชียวนะ ส่วนผลการฝึกตนของเจ้ากลับเปเพียงแดนเทฟฟ้าขั้น 7 เท่านั้น ตั้งแต่โบราณกาลมาตรแม้นว่าเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งที่สุด ก็ไม่สามารถใช้แดนเทพฟ้าไปกลั่นแปรและหลอมรวมกับเพลิงอัคคีระดับนี้ได้”
“เจ้าต้องรู้ก่อนว่าถึงแม้จะมีการช่วยเหลือจากอาจารย์ สามารถข่มพลานุภาพของอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ได้ในระดับที่แน่นอน แต่การที่จะกลั่นแปรและหลอมรวมกับอัคคีเทพชีวีนั้น สุดท้ายเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก หากไม่ทันได้ระวังร่างเจ้าก็อาจจะถูกแผดเผาด้วยไฟที่ลุกโหม ยิ่งกว่านั้นคือตัวหยั่งรู้ของเจ้าก็อาจจะถูกอัคคีเทพแผดเผาจนดับสิ้น จิตวิญญาณกระจายหายไป”