มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1887
มูลค่าของต้นเทวหยกโลหิต หรือว่าสามารถเทียบทัดยาเซียนระดับมหาจักรพรรดิหนึ่งต้นได้นั่นเอง ทว่าตระกูลตวนมู่กลับเอาออกมาเดิมพันครั้งละ 20 ต้น เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของพวกเขาแล้ว
“เชิญ!”
ตวนมู่ชางสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ส่วนหลัวซิวนั้นก็ไม่ได้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ย่างเท้าเดินไปถึงใจกลางสนามจัตุรัส
บริเวณรอบ ๆ มีคนมารวมตัวกันอย่างถี่ยิบ แววตาของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพแต่ละคนก็ต่างเพ่งเล็งไปบนตัวนักยาเซียนหนุ่มทั้งสองคนเช่นกัน
“ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ท้าประลองข้า เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนออกโจทย์ของการดวลวิถียาในครั้งนี้แล้วกัน”หลัวซิวพูดอย่างสงบนิ่ง
“เหอะ ๆ ในเมื่อสหายหลัวกล่าวเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จักจะไม่บ่ายเบี่ยงแล้วล่ะ”
ตวนมู่ชางไม่ได้บ่ายเบี่ยงแต่อย่างใด เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าการดวลวิถียาในครั้งนี้ตัวเองจำเป็นต้องชนะ อีกทั้งยังต้องชนะอย่างสง่าผ่าเผยด้วย
ภายใต้การท้าประลองในสถานการณ์ทั่วไป โจทย์ในการประลองต้องออกโดยฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งผู้ใดเป็นคนออกโจทย์ผู้นั้นต้องได้เปรียบมากกว่าแน่นอน ตวนมู่ชางนึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะถือดีเช่นนี้ เขาที่มั่นใจตั้งแต่แรกแล้วว่าตนต้องเป็นฝ่ายชนะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น!
สนามจัตุรัสเส้นทางดาราที่คึกคักในอดีต วินาทีนี้กลับเงียบลงกะทันหัน
แววตาทั้งหลายต่างเพ่งมองหลัวซิวและตวนมู่ชางที่อยู่บนสนาม เนื่องจากการประลองวิถียาของอัจฉริยะรุ่นหนึ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
คนจำนวนมากต่างเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่การประลองของอัจฉริยะรุ่นใหม่แต่อย่างใด สิ่งที่สำคัญกว่าคือการประลองระหว่างตระกูลตวนมู่และมหาปรมาจารย์ยาเซียนอย่างจีเสวียนคง
นอกเหนือจากนี้แล้วสิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนมากกว่าก็คือของเดิมพันด้วยของราคาสูงที่น่าทึ่งระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าชิ้นใดก็ล้วนเป็นสมบัติที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนอยากช่วงชิงแม้จะต้องมีปัญหาเบาะแว้งกัน
“เจ้าและข้าต่างเป็นนักกลั่นยา ในเมื่อจะประลองกัน เช่นนั้นก็ต้องดูว่าระดับของยาที่กลั่นออกมาได้ของผู้ใดสูงกว่า รวมไปถึงใช้อัตราการประยุกต์ใช้ของฤทธิ์ยามาตัดสินผลแพ้ชนะสุดท้าย”
ตวนมู่ชางไม่ลังเลใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ก็บอกโจทย์ในการดวลวิถียาในครั้งนี้ออกมา
ในเด็กรุ่นใหม่ที่อายุไม่เกินหนึ่งพันปี ณ บัดนี้ยังไม่มีผลการฝึกตนของผู้ใดบรรลุถึงแดนมกุฎเทพ ดังนั้นตวนมู่ชางจึงอยากอาศัยข้อได้เปรียบที่ตัวเองสามารถกลั่นโอสถมกุฎเซียนมาคว้าชัยชนะของการดวลวิถียาในครั้งนี้
คลื่นผลการฝึกตนที่อยู่บนตัวหลัวซิวเทียบเท่าราชาเทพขั้น 7 จากผลการฝึกตนระดับนี้ ตวนมู่ชางคาดการณ์ว่าถึงแม้เขาจะกลั่นแปรหลอมรวมอัคคีเทพขั้นดำชนิดหนึ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายในการกลั่นโอสถมกุฎเซียน แต่อย่างมากสุดก็เป็นเพียงอัคคีขั้นดำชั้นล่าง
อาศัยอัคคีขั้นดำชั้นกลางที่เขากลั่นแปรหลอมรวม เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รับข้อได้เปรียบจากการดวลวิถียาในครั้งนี้ไม่น้อยเลย โอกาสในการชนะก็อยู่ที่เจ็ดส่วนเป็นต้นไปอย่างแน่นอน!
“ดี!”
คำตอบของหลัวซิวเรียบง่ายมาก เพียงพยางค์เดียวเท่านั้น
“ฮ่า ๆ สหายหลัวนี่เด็ดเดี่ยวเสียจริง เช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันเถอะ”
ตวนมู่ชางหัวเราะเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็สะบัดชุดคลุมยาวทีหนึ่ง ก่อนจะนั่งท่าขัดสมาธิแล้วพูดเสียงดัง: “สิ่งที่ข้าจะกลั่นคือโอสถมกุฎเซียนหนึ่งเม็ด ซึ่งมีนามว่าโอสถเพิ่มดีกรี!”
เมื่อพ่นพูดดังกล่าวออกมา กลุ่มคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ส่งเสียงดังเกรียวกราว
“ตวนมู่ชางนั่นจะกลั่นโอสถมกุฎเซียนอย่างนั้นหรือ เขาเพิ่งจะอายุห้าร้อยหรือเปล่า? ราวกับว่าผลการฝึกตนยังบรรลุไม่ถึงแดนมกุฎเทพหรือเปล่า?”
“ในเมื่อเขากล้าพูด เช่นนั้นเขาก็ต้องมีความมั่นใจในการกลั่นอย่างแน่นอน ช่างสุดยอดเสียจริง อายุยังน้อยแต่ก็เป็นอาจารย์ยาเซียนแล้ว”
“อาจารย์ยาเซียนคนหนึ่ง เพียงพอที่จะทำผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพจำนวนมากที่อยู่ในนี้นับถือเป็นแขกผู้มีเกียรติแล้ว”
กลุ่มคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ จึงสร้างพลังออร่าให้แก่ตวนมู่ชางโดยปริยาย ภายในเวลาชั่วขณะทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาและไว้วางใจต่อชัยชนะของตวนมู่ชาง
“สิ่งที่ข้าจะกลั่นก็เป็นโอสถมกุฎเซียนหนึ่งเม็ดเช่นกัน และมีนามว่าโอสถเพิ่มดีกรี ช่างบังเอิญจังเลยนะ”