มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1903
ชัวะ!
อสูรดูดจิตฟาดหาง หางของมันเหมือนดั่งสิ่งปลูกสร้างที่ทำมาจากเหล็ก บนหางเต็มเปี่ยมไปด้วยหนานที่ดูน่ากลัว
ชายหน้าตาดุร้ายตวาดคำหนึ่ง ชี่โลหิตรอบกายลอยขึ้น ชี่โลหิตที่ทะลักออกมาจากรูขุมขนนับล้านกลายเป็นมังกรแท้สีเลือดหลายตัว
หลัวซิวคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยพบเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ครั้นเมื่อหลัวซิวข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าพิโรธครั้งแรก ก็เคยนำปราณเลือดของตนเองผันร่างกลายเป็นชี่โลหิตมังกรแท้ลอยอยู่บนนภาเช่นกัน
“เคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมาร! เจ้าเป็นเผ่าพันธุ์มารในโลกาบรรพมารหรือ?”หลัวซิวหรี่ตาลงแล้วบอกความเป็นมาของชายหน้าตาดุร้ายนั่นออกมา
เคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมาร ก็ถูกเรียกว่าวิชาบรรพเทพโลหิตเช่นกัน เล่ากันว่าเป็นวรยุทธ์ที่จักรพรรดิมารบุกเบิกริเริ่ม
ซึ่งแตกต่างจากการใช้วรยุทธ์ฝึกผลการฝึกตน เส้นทางการเปิดจุดลมปราณและการตระหนักรู้ในกฎแบบดั้งเดิม จักรพรรดิมารบุกเบิกของเผ่าพันธุ์มารเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถเลิศล้ำ และเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางแห่งสายเลือด!
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าวิถียุทธ์ดังกล่าวที่จักรพรรดิมารบุกเบิกริเริ่มนั้น ฝึกเพียงสายเลือด แฝงซ่อนพละกำลังที่มากมายมหาศาลอย่างไร้ขอบเขตไว้ในสายเลือด เป็นเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในจักรวาลฟ้าดิน
ดังนั้นอสูรดูดจิตจึงสามารถควบคุมพลังดูดจิตของนักยุทธ์คนอื่น ๆ ได้ ทว่าแท้จริงแล้วเมื่อครู่นี้มันกลับไม่สร้างผลกระทบใด ๆ ต่อชายหน้าตาดุร้ายคนนี้
เนื่องจากมาตรแม้นว่าผลการฝึกตนและกฎของผู้ที่ฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตจะถูกผนึกไปแล้ว ทว่าพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของคนดังกล่าวคือพลังที่แฝงซ่อนอยู่ในสายเลือด
อีกทั้งหลัวซิวยังดูออกอีกว่าแดนการการฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตของชายหน้าตาดุร้านคนนี้สูงกว่าเขา เนื่องจากผลการฝึกตนของเขาเป็นเพียงแดนเทพฟ้า ฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตถึงขั้นที่ 2 ส่วนชายหน้าตาดุร้ายนี่อยู่แดนราชาเทพ ซึ่งเป็นแดนขั้นที่ 3
โดยธรรมชาติเผ่าพันธุ์มารเหมาะกับการฝึกวรยุทธ์ดังกล่าวมากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว เนื่องจากร่างกายและจิตใจของเผ่าพันธุ์มารแข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด พลังแห่งสายเลือดของตัวเองก็อยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว
“ถูกต้อง ข้าก็คือเยาเย่!”เส้นผมสีแดงเลือดของชายหน้าตาดุร้ายสยายออกแล้วพัดลอยไปมา พลางตอบกลับอย่างเย่อหยิ่งจองหอง
เยาเย่ เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฟ้าดินของโลกาบรรพมาร เล่ากันว่าเขาได้รับการถ่ายทอดสืบสานของจักรพรรดิมารบุกเบิกจากแดนต้องห้ามบรรพมาร และยิ่งกลั่นแปรหลอมรวมแก่นเลือดบรรพมารหยดหนึ่งของจักรพรรดิมารบุกเบิกด้วย!
มาตรแม้นว่าอยู่ในมหาโลกาอื่น ๆ เยาเย่ก็เป็นชื่อที่มีชื่อเสียงโด่งดังกึกก้อง แม้จะไม่เคยพบเห็น แต่ก็ต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน
“สำหรับเรื่องที่ว่าเจ้าเป็นผู้ใดนั้น ข้าไม่สนใจ หากไม่อยากตายละก็ รีบไสหัวไปซะ”หลัวซิวพูดอย่างเยือกเย็น
ศักยภาพของชายจากเผ่าพันธุ์มารผู้มีนามว่าเยาเย่นี้สามารถเทียบทัดมกุฎเทพขั้นปฐมภูมิได้อย่างแน่นอน ซึ่งกำลังรบเช่นนี้ไม่อ่อนกว่าหลัวซิวมากเท่าไหร่นัก ดังนั้นหากสามารถไม่ลงไม้ลงมือกันได้ละก็ หลัวซิวก็ไม่อยากไปยุแหย่ศัตรูที่แข็งแรงเช่นนี้
เนื่องจากแม้เขาจะมีไพ่เด็ดและอุบายที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่าใช่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีเสมอไป
“หึ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎเทพ ยังไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า”
เยาเย่หัวเราะอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ชี่โลหิตมังกรแท้หนึ่งแสนแปดหมื่นตัวบินวนอยู่หลังศีรษะ ทำให้พลังออร่าของเขาสูงเทียมฟ้า มากมายมหาศาลราวกับสามารถทำลายล้างฟ้าดิน
อสูรดูดจิตยอมรับเจ้านายไปตั้งนานแล้ว จึงไม่อนุญาตให้ผู้อื่นทำร้ายหลัวซิวได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก่อนที่มันจะตะปบกรงเล็บอันเฉียบคมทั้งแปดออกไปพร้อมกัน
แม้อสูรดูดจิตจะแข็งแกร่ง แต่ทว่ากลับต้านทานเยาเย่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เยาเย่ก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะอสูรดูดจิต มือที่ยื่นออกไปกลายเป็นกรงเล็บที่เฉียบคม จู่โจมไปที่ส่วนบนของหัวกะโหลกของหลัวซิว
“ขอเพียงสังหารเจ้า อสูรดูดจิตตัวนี้ก็จักตกเป็นของข้า”เยาเย่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น
“เวิง! ……”
อย่างไรก็ตามในเวลานี้เอง ปราณเลือดที่สูงเทียมฟ้าก็ระเบิดออกมาจากตัวหลัวซิวเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นคือปราณเลือดพลังเทพที่ระเบิดออกมาจากตัวเขา ทรงพลังกว่าปราณเลือดพลังเทพของเยาเย่เล็กน้อย
แม้ระดับขั้นในการฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตของหลัวซิวจะต่ำกว่าเยาเย่หนึ่งแดน ทว่าปราณเลือดพลังเทพก็สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวีดั้งเดิมเป็นอย่างยิ่ง จากการยึดกุมและการเพ็ญตนกฎชีวิตของเขา ทำให้ปราณเลือดทรงพลังมาก
แดนขั้น 2 ของวิชาบรรพเทพโลหิตก็สามารถเอาชนะขั้น 3 ที่เยาเย่ฝึกได้แล้ว