มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1939
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่”จีเสี่ยวจื่อเชื่อฟังคำสั่งของหลัวซิวมาก ๆ เนื่องจากหากไม่ใช่ศิษย์พี่ นางจะไม่มีโอกาสได้ตระหนักรู้ในกฎปริภูมิ หากไม่มีศิษย์พี่ละก็ นางจะไม่ได้ฝึกคัมภีร์เทวอนัตตาของกฎปริภูมิเช่นกัน
เมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้ว ทำให้นางมีโอกาสได้กลายเป็นอัจฉริยะระดับมหาจักรพรรดิ
การแบ่งจำแนกในหมู่อัจฉริยะ ทันทีที่ถูกจำแนกเป็นอัจฉริยะระดับมหาจักรพรรดิ เมื่อเติบโตขึ้นแล้วมีโอกาสได้ช่วงชิงกลายเป็นก็จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ได้รับสมญานามว่าเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ของยุคสมัยหนึ่ง
แต่ทว่าจีเสี่ยวจื่อเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากถามว่ายุคสมัยต่อไปในอนาคตผู้ใดจะได้กลายเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้น นางรู้สึกว่านอกเหนือจากศิษย์พี่หลัวแล้ว มาตรแม้นว่าเป็นพระโอรสจ้านเทียนนั่นก็ไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้
จัดวางค่ายกลทุกอย่างเสร็จสรรพ จากนั้นหลัวซิวก็นั่งท่าขัดสมาธิในถ้ำที่ตนบุกเบิก
ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง ขวดหยกจำนวนมากที่มียาเซียนบรรจุอยู่ภายในก็เรียงกันในแนวนอน วางเรียงอยู่ตรงหน้าเขา
การเดินทางมาแดนเทวนิรันกาลในครั้งนี้ของเขาได้ดอกผลไม่น้อยเลย นอกเหนือจากอัญเกณฑ์อย่างหินนิรันดร์แล้ว เขายังได้รับยาเซียนระดับสูงจำนวนมากอีกด้วย
ครั้งก่อนขณะที่ปิดขังเพื่อตระหนักรู้ในหินนิรันดร์ เขาได้ทำการกลั่นยาเซียนส่วนมากให้กลายเป็นเม็ดยาเซียนแล้ว ส่วนครั้งนี้เขาจะใช้เม็ดยาเซียนเหล่านี้มายกระดับผลการฝึกตนให้ขึ้นไปถึงเทพฟ้าขั้นสูงในรวดเดียว
ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการเพ็ญตนของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าหรือเคล็ดวิชาจุดลมปราณ สามารถมองข้ามประสิทธิผลของยาเซียนระดับ 9 ได้แล้ว ไม่ว่าจะกลืนกินมากเท่าไหร่ โดยส่วนใหญ่แล้วก็แทบจะไม่เกิดประสิทธิผลใด ๆ เลย
ดังนั้นหากเขาอยากบรรลุจากเทพฟ้าขั้น 7 ถึงเทพฟ้าขั้น 9 ขั้นสูง ก็มีเพียงต้องพึ่งพายาเซียนระดับมกุฎแล้ว
จากระดับฝีมือในการกลั่นยาของเขา การกลั่นสกัดยาเซียนระดับมกุฎนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ทว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ การฝึกตนในเทพฟ้าช่วงปลายของเขาก็ต้องใช้ยาเซียนระดับมกุฎแล้ว เช่นนั้นอนาคตหากบรรลุถึงแดนราชาเทพ หรือเขาต้องใช้ยาเซียนระดับเจ้ายุทธจักรถึงจะสามารถฝึกตนได้?
ความต้องการทางทรัพยากรทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่มาก เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่ายิ่งผลการฝึกตนของตนเองสูงเท่าไหร่ ทรัพยากรที่ต้องการก็ยิ่งมากเท่านั้น อีกทั้งยังหายากกว่าเดิมด้วย ความยากในการยกระดับผลการฝึกตนก็ยิ่งมาก
แต่ไม่ว่าระดับความยากในการฝึกตนในอนาคตจะมากเท่าไหร่ ครั้งนี้ก็จำเป็นต้องให้ผลการฝึกตนบรรลุ เนื่องจากสำหรับหลัวซิว ณ วินาทีนี้แล้ว จุดอ่อนที่ถ่วงดุลศักยภาพความอ่อนและความแข็งแกร่งของเขาไว้ก็คือปัญหาเรื่องผลการฝึกตนต่ำ
ตั้งแต่ที่บรรลุจากขั้น 6 ถึงขั้น 7 เป็นต้นมา หลัวซิวไม่ต้องประสบกับทัณฑ์สายฟ้าพิโรธในแดนเทพฟ้าอีกแล้ว ดังนั้นขั้นตอนการปิดขังอยู่ภายในถ้ำของเขาจึงเงียบสงบมาก
ภายในถ้ำมีแสงดาวแย้มบานสาดส่องไปทั่วทุกมุม แสงอันสว่างไสวของกฎต่าง ๆ แวววาวเปล่งประกายระยิบระยับ ด้านหลังของหลัวซิวมีห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลปรากฏ ภายในประดับด้วยดวงดาวต่าง ๆ และมีวัฏสงสารแขวนอยู่
มือซ้ายของเขายกขึ้นมากะทันหัน กฎการเวียนว่ายตายเกิดหลอมรวมกัน จนกลายเป็นวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด
มือขวาของเขายกขึ้นมากะทันหัน กฎห้วงเวลาหลอมรวมกัน จนวิวัฒนาการกลายเป็นห้วงเวลาแห่งหนึ่ง
ฝึกบทที่สองของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าถึงแดนบริบูรณ์แล้ว ดาราทั้ง 18 ดวงแวววาวจับตา แดนของสี่กฎชั้นยอดก็ล้วนยกระดับถึงแดนขั้น 5 บริบูรณ์แล้วเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็มีการตระหนักรู้ในกฎมากกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดที่เกิดจากกฎการเวียนว่ายตายเกิดหลอมรวมกัน พลานุภาพของมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านคุณภาพ ซึ่งเทียบทัดพลานุภาพของแดนกฎขั้น 6 บริบูรณ์
และหากใช้กฎเวลาและปริภูมิพร้อมกันละก็ ประสิทธิผลสำหรับการควบคุมและยึดกุมจังหวะในการทำสงครามเข่นฆ่าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
หากนำสี่กฎชั้นยอดอย่างการเวียนว่ายตายเกิดห้วงเวลาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ยิ่งสามารถวิวัฒนาการเสี้ยวหนึ่งของเงาสะท้อนวัฏสงสารออกมาได้ พลานุภาพนั้นก็จะยิ่งทรงพลังมากจนเหลือเชื่อ หากใช้ตำหนักวัฏสงสารและเงาสะท้อนวัฏสงสารโจมตีพร้อมกันอีก พลานุภาพก็จะยิ่งทรงพลังมากจนน่ากลัว
แต่ทว่าใช้อุบายเช่นนี้บ่อย ๆ ไม่ได้ เนื่องจากการประคองเงาสะท้อนวัฏสงสารนั้นต้องสูญเสียผลการฝึกตนที่เยอะมากจริง ๆ พลังอมตะที่ทำให้มีผลการฝึกตนอย่างไร้ที่สิ้นสุดอย่างสรรพสิ่งอิงหยินอุ้มหยางก็ประคองต่อไปได้ไม่นานเช่นกัน