มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2048
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2048
ออร่าผลการฝึกตนที่อยู่บนตัวหลัวซิวเป็นเพียงเทพฟ้าขั้นปฐมภูมิ ดังนั้นเขาถึงได้มั่นใจมากขนาดนี้
“ในฐานะที่เป็นหมาที่อยากเอาอกเอาใจเจ้านาย ก็ต้องมีสายตาในการประเมินสถานการณ์หน่อยสิ คนแบบใดที่เห่าใส่ได้ แบบใดเห่าใส่ไม่ได้ เจ้าต้องมองให้ชัดเจนก่อนถึงจะกระโจนออกมาได้”
หลัวซิวไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แค่มองมู่หงเป่าด้วยสายตาที่เรียบนิ่งรอบหนึ่ง เขายังไม่ได้เอาตัวละครเล็ก ๆ เช่นนี้มาไว้ในสายตา
มู่หงเป่าถูกหลัวซิวเหน็บแนมจนใบหน้าเขียวช้ำ จึงตะคอกเสียงดังลั่นออกมาในทันที กางมือใหญ่ออกแล้วกดอัดลงมา
หลัวซิวดูผ่อนคลายมาก ยังคงใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลังอยู่เช่นเคย ทว่าอสูรดูดจิตที่อยู่ใต้เท้าเขากลับไม่ได้เกรงใจเช่นนั้น มีรัศมีเทวสาดส่องออกมาจากดวงตาสีแดงเลือดที่ดุดันคู่นั้น รัศมีเทวดุจกระบี่ ตัดสับอนัตตา
ฟึ่บ!
รัศมีเทวสีแดงสดที่เหมือนดั่งกระบี่พุ่งผ่านกลางนภา ศีรษะหนึ่งบินลอยขึ้นฟ้า ศพไร้ศีรษะร่างหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากฟ้า หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เลือดสีแดงสดถึงจะพุ่งกระฉูดอย่างบ้าคลั่ง เป็นที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
สำหรับอสูรดูดจิต ณ ปัจจุบันแล้ว การสังหารราชาเทพกระจอก ๆ ไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากเลยด้วยซ้ำ มาตรแม้นว่าเป็นมกุฎเทพที่ศักยภาพค่อนข้างอ่อนแอ มันก็สามารถต่อกรได้เช่นกัน
เมื่อทุกคนเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว จึงผงะไปในทันที ไม่มีผู้ใดนึกถึงเลยว่าคนดังกล่าวจะกล้าฆ่าคนอย่างทารุณโหดเหี้ยมที่นี่ เป็นการไม่นำคนใหญ่คนโตทั้งหลายที่อยู่ในที่เกิดเหตุไปไว้ในสายตาชัด ๆ
“ข้ารังเกียจหมาที่เห่าไปทั่วมากที่สุดแล้ว ฆ่าทิ้งจะได้สงบ”หลัวซิวยิ้มอ่อน
“วิธีการของคุณชายช่างยอดเยี่ยมมากเลยนะ!”
มีเสียงที่สดใสปานกระดิ่งดังออกมาจากราชรถที่สวยล้ำค่านั่น จากนั้นผ้าม่านก็ค่อย ๆ ถูกเปิดออก ก่อนจะมีสตรีรูปร่างวิจิตรงดงามคนหนึ่งก้าวเท้าเดินออกมา
ทันทีที่นางปรากฏ ก็ทำให้ท้องฟ้ายังหม่นหมอง บุปผานับร้อยถอดสี งดงามจนไม่อาจมีสิ่งใดมาเทียบเคียง ไม่ด้อยกว่าฉียู่หรงที่อยู่ข้างกายหลัวซิวเลย
“ข้าไม่ได้ลงมือสักหน่อย เจ้าทราบได้อย่างไรว่าข้าวิธีการของข้านั้นยอดเยี่ยม?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“สัตว์ที่คุณชายขี่ก็มีศักยภาพกึ่งมกุฎเทพแล้ว การที่สามารถสยบสัตว์ประเภทนี้ให้เป็นยานพาหนะของตัวเองได้นั้น เห็นได้เลยว่าคุณชายไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน วิธีการจึงต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”เทพธิดาไท่ฉือหัวเราะเบา ๆ แล้วพูด
“เหอะ ๆ แววตาของสตรีอย่างเจ้าช่างไม่เลวเลยจริง ๆ ยอดเยี่ยมกว่าน้องชายที่ไม่เอาไหนนั่นของเจ้ามาก ๆ”หลัวซิวหัวเราะ “ในเมื่อวันนี้เจ้าก็มาถึงแล้ว เช่นนั้นข้าก็จักพูดเพียงคำเดียวเท่านั้น หากผู้ใดคิดจะทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายต่อตระกูลเทพสงคราม ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับข้า”
“คุณชายจะกลืนกินของล้ำค่าของตระกูลเทพสงครามคนเดียวหรือ?”เทพธิดาไท่ฉือขมวดคิ้วที่งดงามคู่นั้นลง นางนึกไม่ถึงเลยว่ากิริยาท่าทางของผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้จะกําเริบเสิบสานเช่นนี้
สาเหตุที่นางเกรงใจนั้น เป็นเพราะนางมองความลึกตื้นของคนดังกล่าวไม่ออก ภายนอกดูเหมือนมีผลการฝึกตนเพียงราชาเทพขั้นปฐมภูมิ ทว่ากลับเหมือนอสูรโบราณดาราที่กำลังนอนจำศีล เลือกกลืนกินมนุษย์ ซึ่งน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
สำหรับคู่ต่อสู้ที่ไม่ทราบความลึกตื้นนั้น เทพธิดาไท่ฉือต้องหลีกเลี่ยงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เนื่องจากตัวตนของนางคือตัวแทนของสำนักไท่ฉือ จะปล่อยให้มีการพลาดพลั้งเสียหายและผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
“ของล้ำค่าของตระกูลเทพสงคราม? ยังไม่ต้องถามว่าตระกูลเทพสงครามมีของล้ำค่าจริงหรือไม่ ต่อให้มี มันก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับผู้อื่น เนื่องจากนั่นคือของล้ำค่าของตระกูลเทพสงคราม หากผู้ใดมาแย่ง ก็ต้องตระหนักถึงการต้องได้ตาย”หลัวซิวตอบกลับอย่างเย็นชา
“หรือคุณชายรู้สึกว่าอาศัยท่านเพียงคนเดียว แล้วจักสามารถเป็นศัตรูกับสำนักไท่ฉือของข้าได้?”เทพธิดาไท่ฉือพูดกระแทกเสียงต่ำ ภายในน้ำเสียงมีความข่มขู่ปนอยู่เล็กน้อยแล้ว
“สำนักไท่ฉือแล้วอย่างไร? วันนี้หากเจ้าถอยไปก็จักไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากไม่ยับยั้งชั่งใจ การที่ข้าก็จะล้มล้างสำนักไท่ฉือของเจ้านั้น กลับไม่ใช่เรื่องยากอะไรเช่นกัน”หลัวซิวไม่ใส่ใจ
ช่างเป็นคนที่จองหองพองขนยิ่งนัก!
เมื่อหลัวซิวพูดคำพูดดังกล่าวต่อหน้าสาธารณชน จึงทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุย่ำแย่ลงไปในทันที
ใบหน้าที่เรียวบางของเทพธิดาไท่ฉือยิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความเย็นเยือก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ชั้นยอดของสามสำนักหกตระกูล สำนักไท่ฉือเคยถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?