มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2088
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2088
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ หลัวซิวดึงอาณาจักรวัฏสงสารกลับมา ส่วนกำลังคนที่จ้าวเทียนซิ่นพามานั้นล้วนดับสลายกลายเป็นฝุ่นผง ไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดต่อไปได้เลย
หลัวซิวหกระเหินเดินฟ้า นั่งอยู่บนราชรถที่จ้าวเทียนซิ่นนั่งเมื่อก่อนหน้านี้ สายตากวาดมองบริเวณรอบ ๆ พลางพูดอย่างเย็นชา: “มองดูความสนุกมานานขนาดนี้แล้ว ออกมากันเถอะ!”
เขาไม่ได้อำพรางร่องรอยแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเข้าใจดีมาก ๆ ว่าทันทีที่เข้าสู่ดาราอัมพรเทว เขาต้องถูกกองกำลังทั้งหลายเฝ้าสนใจอย่างแน่นอน
ดังนั้นถึงแม้เขาจะสัมผัสได้ตั้งนานแล้วว่ามีออร่าของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากหลบซ่อนอยู่ในอนัตตารอบ ๆ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากสามสำนักหกตระกูลอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน
“ช่างเป็นผู้น้อยที่กำเริบเสิบสานยิ่งนัก!”
เสียงที่ฟังดูเผด็จการดังก้องขึ้นมา จากนั้นก็มีกองไฟลุกโชนในอนัตตา ก่อนที่จะมีเงาร่างที่สูงใหญ่อย่างยิ่งกำลังเหยียบอยู่บนมังกรอัคคีปรากฏ
คนดังกล่าวคือผู้ชายผมยาวโดยสีผมแดงฉานดุจเปลวไฟ ชีวีดั้งเดิมเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในช่วงสูงสุดบนวิถียุทธ์
พลังออร่าของเขาน่าเกรงขามแข็งกร้าว ร่างเขาเหมือนดั่งเทพมารสูงสุดที่กำเนิดมาจากเปลวไฟ เท้าเหยียบมังกรอัคคี กองไฟที่อยู่ด้านหลังสูงเทียมฟ้า
คนดังกล่าวต้องมาจากตระกูลจู้อย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน คงมีเพียงตระกูลจู้ในหกตระกูลเท่านั้น ที่มีผู้แข็งแกร่งที่ฝึกกฎเพลิงอัคคีถึงระดับนี้
และในสายตาของหลัวซิว คนดังกล่าวคือผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนมกุฎเทพขั้นสูงคนหนึ่ง ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น คนดังกล่าวยังฝึกกฎเพลิงอัคคีถึงขั้น 7 ช่วงปลาย และมีแนวโน้มที่จะถึงแดนบริบูรณ์แล้วด้วย!
ทันทีที่กฎบรรลุถึงขั้น 7 บริบูรณ์ นั่นก็คือกึ่งจ้าวมหาเทพแล้ว!
มกุฎเทพขั้นสูงที่มีชีวีดั้งเดิมเปี่ยมล้มไปด้วยพลัง อีกทั้งอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดของชีวิต คนดังกล่าวต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งแน่นอน ซึ่งไม่ใช่ตาแก่ที่เหลืออายุไขไม่มากอย่างบรรพอาจารย์เทวพยัคฆ์สามารถเทียบเคียงได้
และคนดังกล่าวก็คือนายท่านตระจู้ จู้เทียนฉง!
การปรากฏตัวของจู้เทียนฉงทำให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ที่หลบซ่อนอยู่ในอนัตตาต่างเข้มงวดขึ้น เดิมทีผู้แข็งแกร่งบางคนที่วางแผนจะปรากฏตัว ก็ต่างเลือกที่จะหลบซ่อนต่อไป สังเกตสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ
จู้เทียนฉงก้มมองหลัวซิวลงมาจากที่สูงพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “สมกับที่เป็นอัจฉริยะที่กำเนิดจากโลกาชั้นฟ้าจริง ๆ อายุยังหนุ่มแต่ก็มีศักยภาพเท่ามกุฎเทพช่วงปลายแล้ว เป็นหนุ่มที่มีค่าควรแก่การยกย่องนับถือจริง ๆ!”
จู้เทียนฉงเท้าเหยียบมังกรอัคคี เส้นผมสีแดงฉานที่ยาวสลวยปลิวลอย ดั่งเทพมารผู้สูงส่งที่มองกราดลงมาด้านล่าง “หากเจ้าหมดปัญญาที่จะหนีรอดไปได้แล้ว ข้าสามารถทำให้เจ้าทรมานน้อย ๆ หน่อย”
“มกุฎเทพขั้นสูงที่ฝึกกฎเพลิงอัคคีอย่างเจ้า ก็มีสิทธิ์ให้ข้ายอมแพ้หรือ?”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่งมาก ๆ
“ช่างโอหังยิ่งนัก!”
ใบหน้าของจู้เทียนฉงดูโกรธเกรี้ยว กองไฟรอบกายลุกโชน แผดเผาจนอนัตตาทรุดลง มังกรอัคคีที่อยู่ใต้เท้าก็คำรามอย่างพิโรธ ราวกับจะพุ่งเข้ามาฉีกกระชากหลัวซิวให้กลายเป็นชิ้น ๆ
ในฐานะที่เป็นนายท่านตระกูลจู้ ครั้นเมื่อยังเป็นหนุ่มจู้เทียนฉงก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกับผู้ไร้เทียมทานของโลกะดาราอัมพรเทวเช่นกัน วินาทีนี้ถึงขั้นถูกผู้น้อยคนหนึ่งดูถูกเหยียดหยาม แล้วเขาจะไม่พิโรธได้อย่างไรเล่า?
“มึงไม่พอใจหรือ?”หลัวซิวไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากราชรถแล้วบิดคอทีหนึ่ง “ในเมื่อมึงไม่พอใจ กูก็จะกระทืบกระทั่งมึงพอใจ!”
ขณะที่เขาพูดนั้นดูสุขุมเรียบนิ่งมาก ทว่าเสี้ยววินาทีที่สิ้นเสียงเขา ก็มีอำนาจบารมีดั่งยุคดึกดำบรรพ์ปะทุออกมาจากตัวเขา!
โครมคราม……
รอบกายหลัวซิวก็มีอัคคีเทพที่สูงเทียมฟ้าลุกโชนเช่นกัน เปลวไฟของเขาแดงฉานดั่งเลือด ปานอเวจี
“มาเล่นไฟต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ?”
จู้เทียนฉงกราดเกรี้ยวอย่างมาก ในมุมมองของเขา เขานึกไม่ถึงเลยว่าผู้น้อยคนหนึ่งจะแสดงกฎเพลิงอัคคีต่อหน้าตระกูลจู้ของเขา นี่มันเป็นการยั่วยุตระกูลจู้โดยสิ้นเชิงเลย
ณ เสี้ยววินาทีนี้ มีรัศมีเทวของเพลิงอัคคีที่แวววาวจับตาถึงขีดสุดปะทุออกมาจากร่างเขา จากนั้นก็คำรามยาวก่อนจะทะยานขึ้นฟ้า มังกรอัคคีที่อยู่ใต้เท้าพันอยู่บนแขนซ้าย ส่วนกองไฟที่ลุกโชนอยู่รอบกายก็กลายเป็นมังกรอัคคีตัวหนึ่ง พันอยู่บนแขนขวา