มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2096
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2096
แต่สำหรับตระกูลจู้แล้ว ขอแค่อยู่ในโลกะดาราอัมพรเทว บรรพอาจารย์ที่ถูกปลุกตื่นก็คือผู้ไร้เทียมทาน ขอเพียงบรรพอาจารย์ฟื้นตื่นขึ้นมา ก็จะไม่มีปัญหาอะไรที่จัดการไม่ได้
เทพปีศาจเฒ่าตระกูลจู้หกระเหิดเดินฟ้ามา ใบหน้าหม่นหมอง ทุกตำแหน่งที่สายตากวาดผ่าน อนัตตาล้วนถูกเปลวไฟแผดเผาจนทลายและทรุดตัวลง
ด้านหลังของเทพปีศาจเฒ่า มีอาณาจักรเปลวไฟแห่งหนึ่งที่ถูกวิวัฒนาการมาจากกฎ ภายในอาณาจักรดังกล่าวมีวิมานและตำหนักเยอะจนนับไม่ถ้วน ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายในตระกูลจู้ล้วนนั่งบัญชาการอยู่ภายใน เพื่อช่วยเพิ่มอานุภาพให้แก่บรรพอาจารย์
เทพปีศาจเฒ่าท่านนี้ของตระกูลจู้มาถึงละแวกเหวญาณปีศาจ เมื่อดวงตาที่เหมือนดั่งลูกแก้วเทวอัคคีมองเห็นเหวปีศาจ ก็มีความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่งทะลุออกมาจากส่วนลึกของลูกตาดำ
เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามาตรแม้นว่าเป็นเทพปีศาจเฒ่าที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ก็เกรงกลัวเหวปีศาจอย่างลึกซึ้ง
ในขณะเดียวกัน สายตาของเทพปีศาจเฒ่าก็สังเกตเห็นเรือรบทองคำ รวมไปถึงจีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนางที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าของเรือรบ
“อาจารย์ ยัยหนูสามนางนั่นเป็นคนของเจ้าเด็กเดรัจฉานนั่นขอรับ”ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจู้รีบพูด
ฉึก!
เปลวไฟที่เปล่งแสงแพรวพรายสองดวงปะทุออกมาจากดวงตาของเทพปีศาจเฒ่า ราวกับดาวหางที่แวววาวจับตาถึงขีดสุด ซัดกระหน่ำไปทางเรือรบทองคำ
จีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนางเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ รีบเปิดเกราะป้องกันของเรือรบทองคำ ม่านแสงสีทองจึงเลื่อนขึ้น
ตู้มม!
เสียงระเบิดที่น่ากลัวดังก้องขึ้น เรือรบทองคำที่ยาวสิบกว่าไมล์ถึงกับถูกเปลวไฟที่พุ่งออกมาจากดวงตาของเทพปีศาจเฒ่าพุ่งชนจนพลิกลอยออกไป
“นี่คือศักยภาพของบรรพอาจารย์กึ่งจ้าวมหาเทพหรือ? น่ากลัวเกินไปแล้ว!”ทุกคนที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยสายตาตนเองต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง อย่างไรเสียตั้งแต่โบราณกาลมา เนื่องจากถูกจำกัดโดยวรยุทธ์การถ่ายทอดสืบสานและทรัพยากร ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่สามารถฝึกตนจนถึงระดับกึ่งจ้าวมหาเทพนั้น เรียกได้เลยว่ามีน้อยมากถึงมากที่สุด
ในส่วนของผู้ที่สามารถขึ้นไปยังโลกาชั้นฟ้าและฝึกตนถึงแดนจ้าวมหาเทพได้นั้น ยิ่งมีน้อยกว่ามาก กาลเวลาผ่านไปนับสิบล้านปียังหาพบได้ยากเลย
เรือรบทองคำถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป ทว่าม่านแสงคุ้มกันสีทองที่เลื่อนขึ้นมาไม่ถูกทลายแต่อย่างใด อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรือรบของขลังระดับจ้าวมหาเทพลำหนึ่ง หากไม่มีพลังในการสังหารระดับจ้าวมหาเทพ ก็ยังไม่สามารถทลายเกราะป้องกันของเรือรบได้ภายในกระบวนท่าเดียว
เทพปีศาจเฒ่าตระกูลจู้ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็ง้างมือขึ้นมากะทันหัน ยื่นฝ่ามือออกไป ทั้งแขนกลายเป็นมังกรอัคคีตัวหนึ่ง คำรามเสียงดังจนน่าทึ่ง
ชิ่ว!
และในเวลานี้เอง ก็มีแสงมืดดวงหนึ่งบินออกมาจากเรือรบ แล้วกลายเป็นร่างแท้ของอสูรดูดจิตอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากขึ้นแล้วดูดกลืนไปทางมังกรอัคคี
สายเลือดของอสูรดูดจิตแข็งแกร่ง แม้ศักยภาพสามารถเทียบทัดมกุฎเทพทั่วไป แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเทพปีศาจเฒ่าตระกูลจู้แล้ว ก็ยังแตกต่างกันเยอะมาก ๆ
เพียงการโจมตีเดียวเท่านั้น ร่างกายที่ใหญ่มหึมาของอสูรดูดจิตก็ถูกโจมตีจนบินลอยออกไป เกล็ดบนตัวแตกทลาย เลือดอาบท่วมตัว
……
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
ในเหวญาณปีศาจ หลัวซิวไม่รู้ว่าตัวเองลองพยายามไปกี่หนแล้ว บางครั้งศีรษะก็ถูกตัดลงมา บางครั้งร่างกายก็ถูกสับออกเป็นสองท่อน ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานนี้เป็นที่น่าสังเวทใจจนไม่นึกว่าจะมีอยู่ในโลกนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว
ทว่าหลัวซิวกลับสุขุมมาก ๆ ตลอดมา ความรู้สึกบนใบหน้าก็แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่นัก ภายใต้การสะสมประสบการณ์ในความพยายามของแต่ละครั้ง
สุดท้าย เขาพบว่าทุกครั้งที่ถูกจิตสังหารที่ปะทุออกมาจากรอยดาบโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส จะมีปราณดาบเสี้ยวหนึ่งแทรกซึมเข้าไปในร่างกายเขา จากการที่เขากลั่นแปรปราณดาบยิ่งอยู่ยิ่งมาก จึงทำให้เขาค่อย ๆ ค้นพบว่าในปราณดาบที่กลายมาจากจิตสังหาร มีพลังที่รวดเร็วดุดันและเปี่ยมล้นไปด้วยความล้ำลึกซ่อนอยู่
และหลัวซิวเรียกพลังเช่นนี้ว่ากฎแห่งดาบ
เกณฑ์ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎฟ้าดินทั้งปวง ทว่าพลังแห่งเกณฑ์ไม่ได้มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากเกณฑ์วัฏสงสาร เกณฑ์ตรีภพและเกณฑ์นิรันดร์ที่หลัวซิวรู้จักแล้ว ยังมีเกณฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย