มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2407
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2407
ผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างจักรพรรดิเทพช่วงปลายคนหนึ่ง เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทรงพลังต่อหลัวซิวในปัจจุบันมากอย่างแน่นอน
สิ่งที่โชคดีคือฝ่ายตรงข้ามไม่มีความประสงค์ร้ายต่อตนเองแต่อย่างใด มิเช่นนั้นละก็ เขาสันนิษฐานว่าก็คงมีเพียงใช้หุ่นเชิดจักรพรรดิเทพ หรือไม่ก็รวมร่างกับอสูรดูดจิตถึงจะสามารถต่อกรกับนางได้
สำหรับหลัวซิวแล้ว นี่เป็นเพียงบทแทรกบทหนึ่ง จากนั้นเขาจึงเริ่มฝึกตนต่อ ในขณะที่ชุบร่างเนื้ออยู่นั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะยกระดับผลการฝึกตนของตัวเองด้วย
สำหรับผู้อื่นแล้ว การกลั่นร่างกลั่นวิญญาณเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด ทว่าเมื่ออยู่บนตัวหลัวซิว การยกระดับผลการฝึกตนกลับเป็นเรื่องที่ยากที่สุด โดยเฉพาะหลังจากเขาบรรลุถึงมกุฎเทพแล้วเริ่มริเริ่มกฎไร้ลักษณ์ สามารถพูดได้เลยว่าจักรวาลฟ้าดินไม่อาจรองรับเขาได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่เลื่อนขั้น ไม่เพียงต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าพิโรธอันน่ากลัว การยกระดับผลการฝึกตนก็ยากเย็นกว่าอดีตมาก ๆ
เหล่ารัศมีดำที่รวดเร็วและเฉียบคมถึงขีดสุดพุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างต่อเนื่อง ราวกับมีศัสตราวุธเฉียบคมที่นับไม่ถ้วน ร่างกายของหลัวซิวถูกฉีกกระชากครั้งแล้วครั้งเล่า และได้รับฟื้นฟูอย่างรวดเร็วภายใต้การโคจรกฎชีวิต จนเอาชนะตัวเองบรรลุกฎเกณฑ์อยู่ภายใต้ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน
โอสถลิขิตจิตถูกย่อยและดูดซึมอย่างต่อเนื่อง หลังจากเวลาล่วงเลยไปอีกเกือบครึ่งปี โอสถลิขิตจิตของเขาก็ถูกใช้จนหมดแล้ว
เมื่อตื่นขึ้นมาจากสภาวะฝึกตน หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลง เนื่องจากร่างเนื้อของเขาไม่บรรลุถึงระดับจ้าวมหาเทพขั้น 6 เหมือนอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ แต่เป็นจ้าวมหาเทพขั้น 5 ขั้นสูง ยังขาดอีกเสี้ยวหนึ่งถึงจะสามารถก้าวขึ้นไปสู่จ้าวมหาเทพขั้น 6
ในระหว่างนี้ สตรีกระโปรงเขียวที่เข้าไปในส่วนลึกของเขาผีเก้าไม่ได้กลับมาแต่อย่างใด บางทีตำแหน่งอื่นก็อาจจะมีเส้นทางที่สามารถออกไปจากเขาผีเก้าได้เช่นกัน หรือไม่ก็สตรีนางนั้นยังคงอยู่ในเขาผีเก้า
ผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างจักรพรรดิเทพช่วงปลายคนหนึ่งไม่มีทางมาเขาผีเก้าอย่างไร้เหตุผล หากไม่มาเพราะชุบร่างเนื้อ เช่นนั้นก็ต้องมาเพราะตามหาสมบัติในเขาผีเก้า
เขาผีเก้าเป็นสถานที่ดี ๆ สำหรับการชุบร่างเนื้อ หลังจากหลัวซิวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเขาจะตัดสินใจลองฝ่าฟันไปข้างหน้าอีกสักตั้ง ถึงแม้จะไม่เจอวิธีการที่ดีกว่าสำหรับการทำให้ร่างเนื้อเลื่อนขั้น การไปหาสมุนไพรมังกรสามสีเพื่อมากลั่นโอสถลิขิตจิตเพิ่มอีกนิดหน่อยก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน
เมื่อนึกคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวจึงลุกขึ้นมา เรียกตำหนักวัฏสงสารออกมาลอยอยู่เหนือศีรษะตน ก่อนจะพุ่งเข้าไปในเขตพื้นที่ที่มีรัศมีสีดำม่วงปรากฏอย่างรวดเร็ว
เตี๊ยง! เตี๊ยง! เตี๊ยง! ……
มีเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมาในเขาผีเก้าที่เงียบสงบอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับมีคนกำลังตีเหล็กอยู่ยังไงอย่างนั้น ทุกครั้งที่มีรัศมีสีดำม่วงพุ่งชนตำหนักวัฏสงสาร ร่างกายของหลัวซิวก็จะสั่นคลอนทุกครั้ง มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก แต่เขาก็ยังคงอาศัยกฎชีวิต ฝืนต้านทานการโจมตีและการแว้งกัดของพลังประเภทนี้ แล้วเข้าไปยังส่วนที่ลึกกว่าของเขาผีเก้าอย่างไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปไม่นานนัก เขาก็มาถึงเขตพื้นที่ที่ไม่เคยสำรวจมาก่อน และเจอสมุนไพรมังกรสามสีอีกสิบกว่าต้น จะว่าไปรัศมีสีดำม่วงที่ปรากฏบริเวณนี้ก็แปลกประหลาดมาก ๆ เช่นกัน มันจะไม่สัมผัสแตะต้องสมุนไพรมังกรสามสีที่เจริญเติบโตอยู่ในนี้เลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นละก็ที่นี่ต้องไม่มีพืชพันธุ์อะไรเจริญเติบโตได้แน่นอน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาเซียนเลย
หลัวซิวมาถึงส่วนที่ลึกกว่าของเขตพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมามอง เขาพบว่ารัศมีรวดเร็วและดุดันที่ปรากฏนอกเขตสีม่วงดำไม่ใช่สีม่วงดำอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสีม่วงล้วน!
รัศมีสีม่วงนั่นน่ากลัวยิ่งกว่า ถึงแม้มันจะไม่ได้พุ่งตรงมาทางหลัวซิว แค่มองจากที่ไกล ๆ ก็สามารถทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวแล้ว
เขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าเกิดถูกรัศมีสีม่วงนั้นโจมตี ต้องบาดเจ็บสาหัสในเสี้ยววินาทีแน่นอน
หากบาดเจ็บสาหัสในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ต่อให้มีผู้เป็นอมตะอย่างกฎชีวิต เขาก็ไม่มีทางฟื้นฟูกลับคืนมาได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แน่นอน
ในขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะล้มเลิกความคิดในการมุ่งไปข้างหน้าอยู่นั้น รูม่านตาของเขาก็หดลงกะทันหัน เพราะมองเห็นเงาร่างของสตรีชุดกระโปรงเขียวนั่นอีกครั้ง