มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 241 เหล็กเสวียนหยินสามชิ้น
บทที่ 241 เหล็กเสวียนหยินสามชิ้น
ถาวโจว่จวิ้นเย้ยหยันอยู่ในใจ แอบกล่าว: “รอพลังของข้าแข็งแกร่งขึ้นในแดนปริศนา พอกลับไปตำแหน่งจะต้องสูงขึ้นและได้รับการให้ความสำคัญจากเสด็จพ่อของเจ้าตำหนักเป็นแน่ ชินหวางแห่งประเทศเล็กอย่างประเทศเทียนหวูก็ยังกล้าดูถูกข้า คอยดูแล้วกัน!”
บนโต๊ะ มีพวกสุราและอาหารวางอยู่ หนานหรงชินหวาง หยิบเอาเหยือกเหล้าขึ้นมา แล้วรินให้หลัวซิวหนึ่งจอก พลางยิ้มกล่าว: “ลองชิมดู”
หลัวซิวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ยกสุราขึ้นดื่มหมดในครั้งเดียว กลิ่นหอมละมุนของเหล้าฟุ้งกระจายไปทั่วปาก รสชาติอยากที่จะลืมเลือน
นอกจากนี้แล้วนี่ไม่ใช่สุราธรรมดา แต่เป็นสุราวิเศษที่ทำมาจากยาวิเศษ ช่วยในการฝึกเอ็นเกลากระดูก เสริมความแข็งแกร่งให้กับเลือดลมได้อย่างมหัศจรรย์
แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่สำหรับนักยุทธ์ที่แดนที่บรรลุถึงอยู่ในระดับต่ำนั้น นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่ายาวิเศษแสนมหัศจรรย์แล้ว
“ท่านอ๋อง ท่านเรียกผู้น้อยมา คงไม่ใช่เพียงเพราะเพื่อดื่มเหล้าหรอกใช่หรือไม่?” หลังจากที่หลัวซิววางจอกลง ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หนานหรงชินหวางให้ความรู้สึกที่ไม่เลวกับเขา แม้ว่าจะมีฐานะสูงส่ง แต่กลับเรียบง่ายเป็นกันเอง ยาหิมะแย้มที่เขามอบให้ตนในตอนนั้นถูกหลัวซิวขายไป เขาก็ไม่ได้โมโห แต่กลับได้ใช้เงินของตนซื้อกลับไปอีกที ถือเป็นการบอกใบ้หลัวซิวอย่างลอย ๆ
เมื่อหนานหรงชินหวางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา “เจ้าตรงไปตรงมาแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าแดนปริศนาสามสิบปีถึงจะเปิดหนึ่งครั้ง ทุกครั้งจะมีคนเข้าไปหนึ่งร้อยสามสิบกว่าคน สุดท้ายคนที่มีชีวิตรอดออกมาได้ มีเพียงห้าสิบกว่าคนเท่านั้น”
หลัวซิวพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าตนเองทราบ ด้วยสิทธิของอัจฉริยะขั้นดำ เป็นธรรมดาที่เขาจะได้รับรายงานเกี่ยวกับแดนปริศนาฉบับหนึ่งจากองค์กรนักล่ายุทธ์ตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อก่อนนั้นหลัวซิวไม่ได้ดูอย่างละเอียด ต่อมาได้ยินชิวลั่วสุ่ยพูดถึงเรื่องน้ำแร่วิญญาณ หลังจากนั้นเขาก็ได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารฉบับนั้นอย่างละเอียด และได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนเจ้าจะได้เตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว รายงานที่ทางองค์กรนักล่ายุทธ์มีอยู่ในมือนั้น ไม่ต่างอะไรมากกับที่ราชวงศ์ตระกูลฝานของเรามีอยู่”
หนานหรงชินหวางยิ้มพลางดื่มเหล้าคำหนึ่ง สีหน้าท่าทางค่อนข้างจริวจัง กล่าว: “แต่ยังไงข้าก็ต้องเตือนเจ้าหน่อย นอกจากอันตรายที่มีอยู่ในแดนปริศนาแล้ว เจ้ายังต้องคอยระวังอันตรายที่มาจากผู้อื่นอีก”
“ข้ารู้ว่าฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งพอควร แต่ก็ต้านทานคนจำนวนมากไม่ได้ หลังจากที่เข้าไปในแดนปริศนาแล้วทางที่ดีอย่าได้เคลื่อนไหวคนเดียวเป็นอันขาด ราชวงศ์ของข้าก็มีสิทธิ์อยู่สิบรายชื่อ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าและพวกเขาก็ไปค้นหาโอกาสในการค้นพบสมบัติในแดนปริศนาด้วยกัน”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” หลัวซิวกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าแค่ไม่อยากให้อัจฉริยะอย่างเจ้าต้องสูญสิ้นไปในแดนปริศนา หลังจากที่เจ้าออกมาจากที่นั่น จะเข้าร่วมวิทยาลัยพระวงศ์หรือไม่ ก็ควรที่จะให้คำตอบกับข้าได้แล้วสินะ” หนานหรงชินหวาง ยิ้มกริ่มพลางกล่าว
ถ้าไม่ใช่เพราะให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ของหลัวซิว ตามฐานันดรอ๋องของเขาแล้ว จะใส่ใจคนรุ่นหลังถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร?
แม้ว่าจะมีวัตถุประสงค์ถึงได้ทำเช่นนี้ แต่ไม่ว่ายังไง ที่หนานหรงชินหวางทำล้วนมีผลดีต่อตนทั้งนั้น หลัวซิวตื้นตันใจไม่น้อย
ส่วนจะเข้าร่วมวิทยาลัยพระวงศ์หรือไม่นั้น ความจริงหลัวซิวก็ได้มีการตัดสินใจเอาไว้ในใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใจร้อนที่จะให้คำตอบกับหนานหรงชินหวาง รอหลังจากที่ออกมาจากแดนปริศนาแล้วค่อยพูดก็ไม่สายเกินไป
หลังจากที่คุยเรื่องสัพเพเหระกับหนานหรงชินหวางอยู่สองสามประโยค หลัวซิวก็ขอตัวลา และกลับไปที่ห้องของตัวเองที่อยู่ภายในเรือรบ
ชั่วพริบตาเดียว เวลาสองวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเรือรบก็ได้มาถึงจุดหมาย
เรือรบจอดลอยอยู่กลางอากาศ เสียงให้ทุกคนลงจากเรือของหนานหรงชินหวางดังลอยมา เหล่าวีรบุรุษคนรุ่นไหม่ร้อยสามสิบกว่าคนล้วนเดินออกมาจากห้อง
ทางด้านหน้าของทุกคน เป็นกลุ่มภูเขามากมายหลายลูก แต่กลับมีหมอกสีขาวปกคลุมอย่างหนาแน่น มองเห็นได้เพียงหินและพืชพรรณบางส่วนอย่างเลือนราง
แดนปริศนา ซ่อนอยู่ในกลุ่มภูเขาเหล่านี้นั่นเอง
ที่ด้านล่าง มีค่ายวาร์ปเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง สร้างอยู่บนแท่นบูชาที่สูงตระหง่านห้าเมตร
ค่ายวาร์ปแห่งนี้ซับซ้อนเป็นพิเศษ เกินกว่าขอบเขตค่ายกลโดยทั่วไป ค่ายวาร์ปที่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นห้าในปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อเทียบกับค่ายวาร์ปแห่งนี้แล้ว ไม่อาจเทียบได้เลยสักนิด
ท่ามกลางเหล่าวีรบุรุษคนรุ่นไหม่ ก็มีบางคนที่เป็นอัจฉริยะทางด้านฝึกค่ายกล ต่างจ้องมองลายเส้นและสัญลักษณ์ของค่ายวาร์ปเก่าแก่แห่งนี้ตาไม่กะพริบ
ลายเส้นของค่ายกลราวกับสิ่งมีชีวิต เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สัญลักษณ์ที่สลักอยู่นั้นกระกะพริบอยู่ไม่หยุด ปรากฏขึ้นบนตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไป
เมื่อหลายร้อยปีก่อนบรรพบุรุษท่านหนึ่งของราชวงศ์ประเทศเทียนหวูได้รับจดหมายลายที่เขียนด้วยมือมาฉบับหนึ่ง ในนั้นได้บันทึกวิธีเฉพาะของเปิดใช้ค่ายวาร์ปเอาไว้ และมีเพียงในช่วงเวลาที่กำหนด ถึงจะสามารถเปิดใช้ค่ายวาร์ปนี้ได้
และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมแดนปริศนาถึงได้สามสิบปีถึงจะเปิดหนึ่งครั้ง
ขอบเขตของค่ายวาร์ปเก่าแก่แห่งนี้กว้างขวางมาก คนร้อยสามสิบกว่าคนยืนอยู่ด้านบน ก็ไม่รู้สึกว่าแออัดเลยสักนิด
ตามคำสั่งของหนานหรงชินหวาง นักค่ายกลที่มาด้วยเหล่านั้นได้นำเอาวัสดุล้ำค่าต่าง ๆ ออกมา เริ่มจัดวางลงไปบนทั้งสี่ทิศของค่ายวาร์ป สลักลายเส้นและสัญลักษณ์ของค่ายกล และปักธงค่าย
เมื่อจัดวางทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หนานหรงชินหวางก็กล่าวขึ้นมาเสียงดัง: “ระยะเวลาที่แดนปริศนาเปิดนั้นคือหนึ่งร้อยวัน พอถึงตอนนั้นคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกส่งกลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง ขอให้วีรบุรุษทุกท่านได้พบกับโอกาสของตัวเองในแดนปริศนา!”
ค่ายวาร์ปเก่าแก่เริ่มทำงาน แสงสว่างอันเจิดจ้าส่องสว่างขึ้นมา ทุกคนต่างรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และหายตัวไปจากแทนบูชา
เมื่อทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าสงบลง หลัวซิวพิจารณาดูบริเวณรอบ ๆ พบว่าตนเองได้อยู่ในที่อันมืดสลัวแห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย
เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า มีเพียงพระอาทิตย์สีเลือดแขวนลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีความร้อนเลยแม้แต่น้อย เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ลมหนาวพัดมาเป็นระยะ เกิดเป็นดั่งเสียงร้องโหยหวนของภูตผีปีศาจ
ที่นี่ก็คือแดนปริศนานั่นเอง เป็นแดนหยินสุดขั้วแห่งหนึ่ง ที่ผู้แข็งแกร่งยอดยุทธ์ของสำนักไท่เสวียนโบราณสร้างขึ้นโดยการใช้ค่ายกลสะเทือนพลังฟ้าดิน!
“จริงอย่างที่คิด สมกับที่เป็นแดนหยินสุดขั้วจริง ๆ ปราณหยินหนาแน่น ผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน จะต้องกลายเป็นหินหยินอย่างแน่นอน” หลัวซิวพูดอยู่ในใจ
“ที่แห่งนี้ก็คือแดนปริศนาเช่นนั้นหรือ? เหน็บหนาวจนทำให้ท่านชายหลงไม่สบายไปทั้งตัว” เสียงบ่นพึมพำของหลงหมิงดังลอยมาจากบริเวณไหล่ของหลัวซิว
แดนหยินสุดขั้วที่สร้างขึ้นจากค่ายกลโบราณจะส่งผลกระทบต่อปริภูมิ สิ่งนี้สำหรับมังกรไร้รูปร่างที่เป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิแล้ว จะรู้สึกไม่สบายจริง ๆ
ถึงมาว่าหลงหมิงจะมีชีวิตรอดมาจากสมัยโบราณ แต่ก็ไม่เคยมาที่แดนปริศนา เพราะในสมัยโบราณแดนปริศนาใหญ่สามแห่ง แดนปริศนาน้อยแปดแห่งของสำนักไท่เสวียนไม่เคยเปิดให้คนภายนอกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เหล็กเสวียนหยิน?”
หลัวซิวสายตาจับจ้อง มองเห็นในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลนักมีก้อนเหล็กก้อนหนึ่งกระจายรัศมีอันเย็นยะเยือกอยู่ เขามีสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที
สมกับที่เป็นแดนปริศนาที่มีสมบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งจริง ๆ เพิ่งจะเข้ามาก็พบกับเหล็กเสวียนหยินเสียแล้ว”
หลัวซิวมีท่าทางดีอกดีใจ เขารีบเดินเข้าไปละเก็บเอาเหล็กเสวียนหยินขึ้นมา เขารู้สึกว่าสำหรับตนแล้วแดนปริศนาแห่งนี้ เป็นขุมทรัพย์อย่างแน่นอน ไม่เพียงมีสมบัติมากมาย และยิ่งเหมาะแก่การฝึกตน
จากนั้นหลัวซิวก็ได้ค้นหาที่บริเวณใกล้เคียง และค้นพบเหล็กเสวียนหยินอีกสามก้อน
“เศษเหล็กแบบนี้ก็ทำให้เจ้าดีอกดีใจขนาดนี้เชียว?” หลงหมิงเบ้ปาก ใบหน้าเย้ยหยัน