มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2417
“แย่แล้ว! รีบหนี!”
วินาทีต่อไป สีหน้าอารมณ์ของเหล่าจ้าวมหาเทพที่อยู่บนเรือรบต่างดูตะลึง เนื่องจากตราประทับที่หวูเผิงห่ายเรียกออกมาแตกละเอียดเป็นชิ้น ๆ แต่ศีรษะของอสูรดูดจิตกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงเวลานี้ พวกหวูเผิงห่ายจักยังไม่เข้าใจอีกได้อย่างไรว่าตัวเองเจอของจริงแล้ว? คนอื่นที่เหลือไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะลงมือ หันหลังเตรียมพร้อมที่จะหลบหนี
อย่างไรก็ตามอุปนิสัยดุร้ายของอสูรดูดจิตกลับถูกกระตุ้นแล้ว สะบัดศีรษะทีหนึ่ง ศีรษะที่มีขนาดเท่าภูเขาลูกหนึ่งในตอนแรกก็ขยายใหญ่ขึ้นกะทันหัน อ้าปากกัดครั้งหนึ่ง อนัตตาก็ทรุดลงเป็นวงกว้าง เหล่าผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพรวมไปถึงหวูเผิงห่ายไม่มีผู้ใดหนีรอดเลย ล้วนถูกมันกลืนกินเข้าไปเลยทีเดียว
หลัวซิวไม่ทราบลาดเลาที่เกิดขึ้นด้านนอกแต่อย่างใด เนื่องจากตัวสำนึกของเขาล้วนจดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอัคคีเทพซิวหลัว
หลังจากกลืนกินกลั่นแปรเปลวไฟสีดำจำนวนมากแล้ว อัคคีเทพสีแดงมืดในตอนแรกก็ยิ่งอยู่ยิ่งร้อนแผดเผา หลังจากบรรลุถึงจุดวิกฤตที่แน่นอนแล้ว จู่ ๆ ออร่าที่ร้อนแผดเผาก็ลดลงกะทันหัน แล้วระเบิดออกมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น อัคคีเลื่อนระดับแล้ว!
หลัวซิวรู้สึกดีใจ หลังจากอัคคีเทพซิวหลัววิวัฒนาการกลายเป็นอัคคีเทพระดับสี่แล้ว เนื่องจากเป็นอัคคีชีวี เขาสามารถสัมผัสความตื่นเต้นดีใจนั้นของภูติอัคคี ตัวเองจึงรู้สึกดีใจไปด้วย
อดีตครั้นเมื่อภูตอัคคีกลืนกินยังอยู่ในรูปแบบเด็กทารก เมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ภูติอัคคีก็ค่อย ๆ เติบโต ทว่าก็ยังคงอยู่ในสภาพเด็กทารกเช่นเคย สวมใส่เสื้อเอื๊ยมแดง วัน ๆ ร้องแต่อ้อ ๆ แอ้ ๆ
ผู้อื่นไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร ทว่าจิตใจของหลัวซิวกลับเชื่อมประสานกับมัน จึงฟังรู้เรื่องเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
หลังจากอัคคีเทพเลื่อนระดับ เนื่องจากระลอกคลื่นที่ประกอบจากเปลวไฟกลืนกินก็ค่อย ๆ สลายหายไปด้วย เมื่อหลัวซิวเดินออกมา บนไหล่ซ้ายเขาก็มีเด็กทารกที่สวมใส่เสื้อเอื๊ยมแดงนั่งอยู่คนหนึ่ง อมนิ้วพลางร้องอ้อ ๆ แอ้ ๆ
ตัวสำนึกทั้งหลายแผ่สำรวจมาก เมื่อเห็นเจ้าของสถานที่ดังกล่าวปรากฏตัว ต่างก็พากันถอยกลับปานกระแสน้ำ พร้อมกับอารมณ์ที่หวาดกลัวและเกรงกลัว
หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ อสูรดูดจิตก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องราวของพวกหวูเผิงห่ายเช่นกัน เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นอสูรดูดจิตหรือหลัวซิวแล้ว จ้าวมหาเทพเหล่านั้นก็เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงด้วยซ้ำ ไม่คุ้มค่าแก่การเอ่ยพูด
“เจ้าบอกว่าที่นี่มีสมบัติดี ๆ อย่างนั้นหรือ?”หลังจากอัคคีเทพวิวัฒนาการแล้ว ธาตุทิพย์จึงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ภูติอัคคีนั่งอยู่บนไหล่เขาพลางยื่นแขนเล็ก ๆ นั่นชี้ไปทางส่วนลึกของนิรยะเพชฌฆาต แล้วพูดอ้อ ๆ แอ้ ๆ
อันที่จริงไม่ต้องให้ภูติอัคคีย้ำเตือน หลัวซิวก็ทราบเช่นกันว่าภายในนิรยะเพชฌฆาตมีสมบัติที่ธรรมชาติรังสรรค์ เนื่องจากเขตพื้นที่ของนิรยะเพชฌฆาตไม่มีทางปรากฏอย่างไร้สาเหตุแน่นอน เปลวไฟของที่นี่ไม่เคยดับหาย แสดงว่าสถานที่แห่งนี้มีสมบัติชั้นสุดยอดประเภทหนึ่ง
แล้วก็เขาผีเก้า เขายังไม่เคยเข้าไปส่วนที่ลึกที่สุดของเขาผีเก้า ก็เจอหินหยกกายสิทธิ์อย่างไผ่เทวดวงครามแล้ว
แต่ทว่าเข้าไปยังส่วนลึกของสถานที่อย่างเขาผีเก้ายากเกินไป ดังนั้นผู้ที่มาตามหาสมบัติและสั่งสมประสบการณ์ในนิรยะเพชฌฆาตจึงมีมากกว่าฝั่งเขาผีเก้า
ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหลัวซิวก็ตัดสินใจไปสำรวจดูที่ส่วนลึกของนิรยะเพชฌฆาตสักตั้ง ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของนิรยะเพชฌฆาตได้ อย่างน้อยหากมีภยันตรายอะไรละก็ เขาก็มั่นใจว่าสามารถถอยกลับมาอย่างปลอดภัยได้อยู่
เมื่อทะลุผ่านเขตเปลวไฟดำ เปลวไฟที่ปรากฏตรงหน้าก็กลายเป็นสีดำม่วงแล้ว บรรลุถึงอัคคีเทพระดับห้า
เปลวไฟของที่นี่ทำให้อัคคีเทพซิวหลัวตื่นเต้นดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็มันไม่กล้าดูดกลืนอุกอาจอย่างก่อนหน้านี้เช่นกัน ทุกครั้งก็กล้าดูดกลืนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งระดับความเร็วในการกลั่นแปรก็ค่อนข้างช้าลงด้วย
มีพื้นที่แห่งหนึ่งต่างแฝงซ่อนอยู่ภายในตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตาย หลัวซิวเรียกของขลังทั้งสองชิ้นนี้ออกมา แล้วทำการดูดซับอัคคีเทพสีม่วงดำได้เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว แม้นขณะนี้มันยังไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเขา แต่ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้อัคคีเทพซิวหลัวเลื่อนระดับขึ้นไปถึงอัคคีเทพระดับห้า