มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2420
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2420
เดิมทีนึกว่าการพบเจอหลัวซิว ณ ที่แห่งนี้ ตนอาจจะไม่ได้ครอบครองพันธุอัคคีไร้เจตน์แล้ว แต่ไป๋เฟยชิงนึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าหลัวซิวจะยินดียกพันธุอัคคีไร้เจตน์ให้นางเช่นนี้
ถึงแม้นางจะมอบโอสถแก่นแท้ระดับห้า 20 ล้านเม็ดให้เป็นการชดเชย ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าของพันธุอัคคีไร้เจตน์แล้ว มันกลับยังคงห่างกันอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจิตใจไป๋เฟยชิงจึงรู้สึกตื้นตันใจต่อหลัวซิวมาก ๆ
เนื่องจากพันธุอัคคีไร้เจตน์สำคัญต่อนางมาก ๆ นี่เป็นกุญแจสำคัญที่เกี่ยวเนื่องถึงเรื่องที่นางจะสามารถยกระดับผลการกลั่นร่างขึ้นไปถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้หรือไม่ หากใช้พันธุอัคคีไร้เจตน์มาชุบร่างละก็ ถึงแม้ประสิทธิผลจะด้อยกว่าไผ่เทวดวงครามเล็กน้อยก็ตาม แต่มันก็เป็นโชคโอกาสที่หาพบได้ยากมาก
ในเมื่อบรรลุปัญหาการแบ่งสมบัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงเตรียมพร้อมที่จะเริ่มบุกเข้าไปในเขตเปลวไฟม่วง
พลานุภาพเปลวไฟม่วงของที่นี่เทียบเท่าอัคคีเทพระดับหกแล้ว อ้างอิงจากคำพูดของไป๋เฟยชิง ตำแหน่งที่ตั้งของพันธุอัคคีไร้เจตน์ค่อนข้างไกล หากอาศัยนางคนเดียวยากที่จะไปถึงที่แห่งนั้น ถึงแม้จะฝืนไปถึงปลายทาง บางทีก็อาจจะเหมือนฝั่งไผ่เทวดวงคราม มาตรแม้นว่าได้รับพันธุอัคคีมาแล้ว ก็ไม่สามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย
ไป๋เฟยชิงเรียกหอคอยเทวสีทองออกมา ส่วนหลัวซิวก็เรียกตำหนักวัฏสงสารออกมา ทั้งสองแบ่งกันต้านทานแรงกดดันจากการแผดเผาของเปลวไฟม่วง บวกกับหลัวซิวมีอัคคีเทพชีวี มีภูมิต้านทานต่อพลังของเปลวไฟเป็นทุนเดิมเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อบุกเข้าไปจึงสบาย ๆ มากกว่าอยู่แล้ว
“สมบัติชิ้นนี้ของเจ้าไม่เลวเลย สามารถต้านทานการเผาชุบจากอัคคีเทพระดับหกโดยไม่เสียหายเลย อย่างน้อยก็ต้องเป็นอาวุธเทพระดับเจ็ดหรือเปล่า?”
ทั้งสองเดินอยู่ในเปลวไฟม่วง ไป๋เฟยชิงมองตำหนักวัฏสงสารที่ลอยอยู่เหนือศีรษะหลัวซิวรอบหนึ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะถามอย่างรู้สึกสงสัย
สำหรับคำถามนี้หลัวซิวแค่อมยิ้มให้ ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด กงล้อวัฏจักรธรรมเป็นสมบัติที่อยู่เหนืออาวุธเทพระดับเก้า ตำหนักวัฏสงสารกลายมาจากกงล้อวัฏจักรธรรม เมื่อพูดตามความหมายอย่างจริงจัง ระดับของมันสามารถเทียบทัดอาวุธเทพระดับเก้าเลย
จากผลการฝึกตนมกุฎเทพของเขา เมื่อพูดตามหลักแล้วก็ไม่สามารถกระตุ้นสมบัติระดับนี้ได้เช่นกัน แต่ตำหนักวัฏสงสารค่อนข้างพิเศษ มีเพียงผู้ที่ฝึกเส้นทางแห่งวัฏสงสารเท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมมันได้ ทว่าอ้างอิงจากระดับความสูงต่ำของผลการฝึกตน พลานุภาพที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้นั้นก็มีความแตกต่างมากน้อยเช่นกัน
อดีตหลัวซิวเคยฝึกเส้นทางแห่งวัฏสงสาร ถึงแม้ต่อมาตนจะริเริ่มวิชาไร้ลักษณ์ แต่ก็สามารถใช้การเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลาผนึกรวมวิวัฒนาการเส้นทางแห่งวัฏสงสารออกมา จึงสามารถควบคุมสมบัติแห่งสังสารวัฏได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
อันที่จริงเมื่อดูจากผลการฝึกตนของเขา ณ ปัจจุบัน ตำหนักวัฏสงสารที่อยู่ในมือเขาก็เทียบเท่าพลานุภาพของภัณฑ์ล้ำจ้าวมหาเทพชั้นยอดหนึ่งชิ้น ยังเทียบเคียงกับภัณฑ์ล้ำจักรพรรดิเทพไม่ได้เลย สาเหตุที่เขาสามารถต้านทานการเผาชุบจากเปลวไฟม่วงได้ค่อนข้างสบายนั้น หลัก ๆ ก็เป็นเพราะอาศัยตำหนักวัฏสงสารที่ไม่เกรงกลัวการแผดเผาจากเปลวไฟประเภทนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จากการที่ยิ่งอยู่ยิ่งลึกเข้าไปในเขตเปลวไฟม่วง อุณหภูมิของเปลวไฟสีม่วงที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ยิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้นเช่นกัน ถึงแม้จะเรียกตำหนักวัฏสงสารออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีออร่าที่ร้อนผ่าวอย่างยิ่งแทรกซึมเข้ามาอยู่ดี ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในเตาไฟ
“ยังไม่ถึงที่หมายอีกหรือ?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง ผลการฝึกตนของตัวเขาเองค่อนข้างต่ำ ถึงแม้จะมีอุบายบ้าง หากพูดแม่นยำหน่อยเขาก็แค่เทียบเท่าจ้าวมหาเทพช่วงปลายคนหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งเดินไปข้างหน้า เปลวไฟม่วงก็ยิ่งร้อนแรงมากยิ่งขึ้น หากอุณหภูมิของเปลวไฟและพลังการแผดเผารุนแรงมากกว่าเดิมละก็ นอกซะจากว่าเขาจะรวมร่างกับอสูรดูดจิต หรือเรียกหุ่นเชิดยักษ์ออกมาถึงจะสามารถต้านทานได้
แต่อภินิหารรวมร่างและหุ่นเชิดยักษ์คืออุบายไพ่เด็ดสุดท้ายของเขา หากไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เขาจะไม่ปลดปล่อยออกมาง่าย ๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ถึงแล้ว”
ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ไป๋เฟยชิงที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้า เห็นเพียงมีหลุมที่มีเปลวไฟแผดเผาปรากฏ ณ ตำแหน่งข้างหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ออร่าที่ร้อนจี๋อย่างยิ่งแผ่กระจายออกมาจากหลุมดังกล่าว