มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2449
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2449
จักรพรรดิเทพเทียนหย่งนั่นคือผู้แข็งแกร่งระดับใด? ระดับของโอสถแก่นแท้ที่นางทิ้งไว้นั้นต้องสูงมากแน่นอน หากเป็นโอสถแก่นแท้ระดับเก้า ต่อให้มีเพียงล้านกว่าเม็ด มันก็เป็นสมบัติที่ไม่สามารถประมาณค่าได้แน่นอน
และทั้งหมดที่พวกเขามองเห็น เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของตำหนักไท่ซ่างเทียนหย่งเท่านั้น!
“สหายหลัว นำเศษใจศุภรของเจ้าออกมาด้วยสิ”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนรีบพูด
ชีชีหยิบเศษใจศุภรออกมาเอง ง้างมือเขวี้ยงทีหนึ่ง เศษใจศุภรชิ้นนั้นก็บินเข้าไปในร่องบนบานประตู ถัดจากนั้นบานประตูที่มืดครึ้มก็ค่อย ๆ เปิดออกอีกเล็กน้อย
หลัวซิวก็ไม่ลังเลใจเช่นกันนำเศษใจศุภรออกมาฝังลงบานประตู หลังจากเศษใจศุภรทั้งห้าชิ้นฝังลงบานประตูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีรัศมีที่แวววาวจับตาถึงขีดสุดแย้มบานออกมาจากประตูใหญ่ที่มืดครึ้มในตอนแรกภายในพริบตา มีพลังเกณฑ์เวลาที่ลึกลับและมหัศจรรย์ถึงขีดสุดแผ่กระจายออกมา
ภายใต้การแผ่คลุมจากเกณฑ์เวลา หลัวซิวรู้สึกว่าเวลาไหลผ่านไปรวดเร็วมาก ราวกับเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ล่วงเลยไปหลายศักราชแล้ว ทว่าก็รู้สึกเหมือนเวลาไหลย้อนกลับด้วย ราวกับตนกลับไปถึงเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน ตนไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นไท่ซ่างฉิง……
ไม่เพียงแค่หลัวซิวเท่านั้น ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนและชีชีก็ต่างเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ในเกณฑ์เวลาที่กว้างใหญ่จนไม่อาจคาดได้ พวกเขาที่มีผลการฝึกตนเพียงเทพมารระดับสี่ก็เล็กน้อยมากประดุจมดตัวจ้อย
“ไท่ซ่างฉิง……”
ในช่วงเวลาที่เลือนราง หลัวซิวรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของสตรีนางหนึ่ง ถัดจากนั้นร่างกายเขาก็หายวับไปจากหน้าประตูใหญ่บานนี้ภายในพริบตา
ไม่รู้ดำเนินการไปนานเท่าไหร่ หลังจากพลังเกณฑ์เวลาค่อย ๆ สลายหายไป ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนและชีชีก็ตื่นขึ้นมากะทันหัน พบว่าประตูใหญ่มืดครึ้มบานนั้นหายไปแล้ว และปรากฏเป็นเส้นทางหนึ่ง
“หื้ม? เจ้าหลัวซิวนั่นล่ะ?”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกวาดตามองดูรอบ ๆ พบว่าจู่ ๆ หลัวซิวก็หายตัวไป
“บางทีเขาอาจจะเข้าไปแล้ว”ชีชีขมวดคิ้วลงเล็กน้อย พลางคาดเดา
“ไอ้เวรตะไลเอ๊ยย สมบัติที่อยู่ภายในคงไม่ถูกไอ้สารเลวนั่นเอาไปหมดหรอกกระมัง?”เมื่อลิ่งฮู๋จื่อเซวียนได้ยินคำพูดของชีชีแล้วก็ปักใจเชื่อเต็มร้อย ก่อนจะพุ่งเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เมื่อเข้าไปในตำหนักไท่ซ่างเทียนหย่ง พลังจิตบริสุทธิ์ที่เข้มข้นถึงขีดสุดก็ตีเข้าหน้า แล้วปรากฏตรงหน้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนและชีชี มันคือโอสถแก่นแท้ที่กองกันเท่าภูเขา ถึงแม้จะยืนสูดหายใจอยู่ข้าง ๆ ก็สามารถสัมผัสได้ว่ามีพลังจิตที่บริสุทธิ์แทรกซึมเข้ามาในร่างกาย ผลการฝึกตนกำลังจะลงมือบุก มีลางบอกว่าผลการฝึกตนกำลังจะยกระดับพัฒนา
ใบหน้าของลิ่งฮู๋จื่อเซวียนดูตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง เขาสามารถยืนยันได้เลยว่าอย่างน้อยสุดโอสถแก่นแท้เหล่านี้ก็เป็นระดับเจ็ดเป็นต้นไป อีกทั้งทรัพยากรการฝึกตนอย่างโอสถแก่นแท้ไม่มีข้อจำกัดที่มากมายเหมือนยา ถึงแม้เขาจะอยู่ในแดนเทพมารระดับสี่ ก็สามารถใช้โอสถแก่นแท้ระดับเก้ามาฝึกตน แต่ทว่าภายใต้สถานการณ์ทั่วไปไม่มีคนทำเช่นนั้น มิเช่นนั้นก็จะเป็นการทำลายสิ่งของเสียหายตามอำเภอใจ
แต่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกลับไม่ไปสนใจเรื่องเหล่านั้นหรอกนะ เมื่อมีโอสถแก่นแท้เหล่านี้ เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถยกระดับผลการฝึกตนให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดภายในระยะเวลาสั้น ๆ ถึงครานั้นเมื่ออาศัยมารดาเตาผืนทอง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ตัวเองก็ไม่ต้องกลัว
เมื่อเปรียบเทียบกับความฮึกเหิมและตื่นเต้นดีใจของลิ่งฮู๋จื่อเซวียนแล้ว ชีชีกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยมาโดยตลอด หากหลัวซิวมาถึงที่นี่ก่อนพวกเขาหนึ่งก้าวละก็ เหตุใดเขาจึงไม่เอาโอสถแก่นแท้ของที่นี่ไป? ตกลงเขาไปที่ใดกันแน่?
ทันใดนั้นเอง ชีชีก็รู้สึกว่าเดิมทีหลัวซิวที่ลึกลับมาก ๆ อยู่แล้ว เหมือนจะลึกลับและไม่อาจคาดคะเนได้มากกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้เสียอีก
แท้จริงแล้วหลัวซิวก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนอยู่ที่ใด เขาดื่มด่ำอยู่ในความลี้ลับของเกณฑ์เวลาโดยสมบูรณ์ มาตรแม้นว่าเกณฑ์เวลาจะอยู่ในขอบเขตของวิถีจักรวาลฟ้าดิน เมื่อพูดตามหลักแล้วมันไม่สอดคล้องกับวิถีไร้ลักษณ์ที่ตนฝึกแต่อย่างใด
แต่ทว่าวิถียุทธ์เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงถึงกัน ระดับของเกณฑ์เวลาสูงมาก ๆ เขาตระหนักรู้ในเกณฑ์เวลา และได้รับคติเยอะมาก ๆ แล้วนำมาปรับปรุงและยกระดับวิถีไร้ลักษณ์ของตนเอง
กระทั่งวินาทีนี้ วิถีไร้ลักษณ์ของเขายังอยู่ในระดับกฎ สักวันหากจะแปรเปลี่ยนเป็นเกณฑ์ ก็จำเป็นต้องตระหนักรู้เกณฑ์อื่น ๆ เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนัก
เวลาคืออะไร? อดีต ปัจจุบัน อนาคตก็คืออรรถาธิบายที่เหมาะสมกับเวลามากที่สุด
กฎเวลามีมหาอิทธิฤทธิ์สามประการ ได้แก่ลดเวลา หยุดเวลาและเร่งเวลา
แต่ถ้าเกิดกฎแปรเปลี่ยนเป็นเกณฑ์ ก็จะเป็นการก้าวเข้าสู่ระดับที่ใหม่เอี่ยม ลดเวลาจะแปรเปลี่ยนเป็นเพลาย้อนกลับ หยุดเวลาจะวิวัฒนาการเป็นเพลานิรันดร์เร่งเวลาก็จะยกระดับขึ้นเช่นกัน กลายเป็นเพลาหมุนผ่าน