มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2534
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2534
จีเสวียนคงหยิบเอกสารที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองออกมาหนึ่งแผ่น อ้างอิงจากการบันทึกของเอกสารหนังสือโบราณแผ่นนี้ ภายในเนื้อหาได้กล่าวถึงในศึกสงครามที่เผ่าจี้ถอยออกมาจากโลกมหาศักดิ์ ก็มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่อ้างว่าตนมาจากตำหนักเวหาเช่นกัน
ศึกสงครามในครั้งนั้น เป็นภัยพิบัติที่เผ่าจี้ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน หากไม่ใช่เพราะจี้หวูชวงทุ่มสุดชีวิตคอยรั้งท้ายให้ บางทีในโลกใบนี้อาจจะไม่มีเผ่าจี้คงอยู่ตั้งนานแล้ว
นี่จึงทำให้หลัวซิวนึกถึงเหวญาณปีศาจแห่งนั้นในดาราอัมพรเทวอย่างอดไม่ได้ ซากกระดูกที่นับไม่ถ้วนเกลื่อนพื้น รอยดาบที่นับไม่ถ้วนตัดสลับไปมา ล้วนเป็นร่องรอยที่จี้หวูชวงทิ้งไว้ในศึกสงครามครั้งนั้น
กาลเวลาได้ผ่านพ้นไปยาวนานอย่างไม่รู้จบ จี้หวูชวงไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ศิลาผนึกปีศาจครึ่งหนึ่งและเศษหยกชิงเทียนชิ้นนั้นที่ไท่ซ่างฉิงเอาให้นางดูแลเก็บรักษาก็ต่างตกอยู่บนสนามรบ ของที่สำคัญเช่นนี้ยังตกหายไปแล้ว จึงสามารถจินตนาการได้เลยว่าศึกสงครามในครั้งนั้นมันดุเดือดมากเพียงใด
ตำหนักเวหาคือหนึ่งในวังนภาสิบสอง ส่วนวังนภาสิบสองของโลกสวรรค์นั้น ล้วนเป็นการถ่ายทอดสืบสานที่สวรรค์ทิ้งไว้ในยุคไท่ชู กาลเวลาที่มันคงอยู่มานั้นยาวนานมาก ภูมิฐานแน่นแฟ้นจนผู้คนไม่อาจจินตนาการได้เลยด้วยซ้ำ
หลัวซิวสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากล้น ผลการฝึกตนศักยภาพในปัจจุบันของเขาอ่อนมากเกินไป ถึงแม้จะฟื้นฟูกลับคืนสู่แดนในอดีตของไท่ซ่างฉิง บางทีเมื่อเผชิญหน้าวังนภาสิบสองที่ยิ่งใหญ่นั่นแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เรื่องบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ในภพชาติของไท่ซ่างฉิง สาเหตุที่ไม่ได้คลุกเคล้ากับวังนภาสิบสองนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเขาดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับกงล้อวัฏจักรธรรม มิเช่นนั้นละก็ บางทีเขาคงมีปฏิสัมพันธ์กับวังนภาสิบสองตั้งนานแล้ว
“ดูท่าต้องรีบบรรลุสู่แดนจ้าวมหาเทพแล้วล่ะ”หลัวซิวพูดพึมพำในใจ
ที่เขากลับมาในครั้งนี้ก็เพื่อจะบรรลุสู่จ้าวมหาเทพ ทันทีที่บรรลุถึงแดนจ้าวมหาเทพ เขาถึงจะถือว่ามีกำลังรบระดับจักรพรรดิเทพอย่างแท้จริง เมื่อใช้ศักยภาพระดับนี้ปลดปล่อยพลังเกณฑ์ ก็สามารถต่อกรกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้ว
หลังจากที่เดินออกมาจากสำนักเผ่าจี้ หลัวซิวก็ไปหาสถานที่แห่งหนึ่งในแดนปริศนาเผ่าจี้เพื่อปิดขัง แม้นทรัพยากรและเงื่อนไขที่เขายึดกุมอยู่ในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุสู่จ้าวมหาเทพได้ แต่ได้รับโลหิตแห่งชิงเทียนหยดนั้นมา กลับเพียงพอที่จะทำให้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพแล้ว
หลัวซิวได้จัดวางค่ายกลต้องห้ามไว้บริเวณรอบ ๆ ของถ้ำปิดขังอย่างหนาแน่น ในช่วงที่เขาปิดขังนี้ ต้องทำลายทุกสรรพสิ่งที่เข้ามารบกวนให้หมดสิ้น อย่างไรเสียโลหิตแห่งชิงเทียนก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย จากแดนผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเขา การที่จะกลั่นแปรหลอมรวมมันนั้น มันดูฝืนไปหน่อยจริง ๆ
หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำ ยกมือโบกทีหนึ่ง ไผ่เทวดวงครามก็ปรากฏตรงหน้าแล้ว ไผ่เทวนี้คือหินหยกกายสิทธิ์ในการกลั่นร่าง เมื่อมีการสนับสนุนจากไผ่เทวดวงครามนี้ อัตราความสำเร็จในการกลั่นร่างบรรลุในครั้งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเยอะมาก
นั่งท่าขัดสมาธิอยู่ข้างไผ่เทวดวงคราม หลัวซิวดูดและคายออร่าพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในไผ่เทวเข้าออก ค่อย ๆ ปรับสภาวะของตัวเองให้ขึ้นไปถึงช่วงที่ดีที่เลิศที่สุด
หลังจากผ่านไปหกวัน เขาลืมตาขึ้นมากะทันหัน ยกมือพลิกทีหนึ่ง โลหิตแห่งชิงเทียนที่แวววาวปานอำพันก็ถูกเขาหยิบออกมา
ฉึก!
เขาใช้ปลายเล็บกรีดผิวหนังบริเวณหัวใจของตัวเองให้ปริออก มีความเด็ดเดี่ยวเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในดวงตา จากนั้นเขาก็กดโลหิตแห่งชิงเทียนเข้าไปในเลือดเนื้ออย่างไม่ลังเลใจ
ภายในเวลาเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ก็มีรัศมีที่แวววาวจับตาอย่างไร้ขอบเขตแย้มบานออกมาจากร่างกายหลัวซิว สัญชาตญาณของโลหิตแห่งชิงเทียนกีดกันร่างกายของเขาอย่างรุนแรง
จากแดนผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของหลัวซิว เขาไม่มีทางกลั่นแปรโลหิตแห่งชิงเทียนให้หมดในครั้งเดียวได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเลือดธรรมดาทั่วไปหนึ่งหยด แต่มันกลับมีต้นกำเนิดจากชิงเทียนที่เก่าแก่ พลังที่แฝงซ่อนอยู่ภายในมากมายมหาศาลจนผู้คนไม่อาจจินตนาการได้
นี่เป็นขั้นตอนการที่ทรมานและเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทุกการบรรลุหนึ่งแดนใหญ่ของวิถีร่างเนื้อ ล้วนเป็นขั้นตอนการที่ลอกคราบใหม่ จำเป็นต้องอดทนตั้งแต่ขั้นตอนที่ร่างกายแตกสลายจนประกอบกลับคืนมาใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ที่มีปณิธานใจกลางแห่งวิถียุทธ์ไม่แน่วแน่ไม่อาจฝืนทนได้!