มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2556
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2556
สำนักจักรพรรดิมรณะก่อสร้างอยู่ในสถานมรณะแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสนามรบในยุคสมัยที่เก่าแก่ มีชี่มรณะเข้มข้น คนแปลกหน้าไม่กล้าเข้าใกล้ ถูกปกคลุมอยู่ในหมอกสีดำที่หนาทึบตลอดทั้งปี
เล่ากันว่าในอดีต มหาโลกะมรณะไม่ได้ชื่อมหาโลกะมรณะ แต่เป็นมหาโลกาเทพปีศาจ เพราะมีเผ่าปีศาจดำรงอยู่เป็นจำนวนมาก
ในห้วงดาราระดับล่าง ก็มีร่องรอยของเผ่าปีศาจเช่นกัน ทว่ากองกำลังและอาณานิคมส่วนมากล้วนถูกยึดกุมอยู่ในมือเผ่าพันธุ์มนุษย์
เล่ากันว่าเคยมีศึกสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งพันล้านกว่าปีก่อน เผ่าพันธุ์มนุษย์ มารและปีศาจทำสงครามกันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเผ่าปีศาจก็ล่มสลาย ถอยออกไปจากเวทีของมหาโลกาพันสาม เศษเดนที่เหลือก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
เผ่าปีศาจในมหาโลกาเทพปีศาจถูกฆ่าล้างหมด จึงส่งผลให้ที่นี่มีชี่มรณะที่ล้นฟ้า ต่อมามหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิก็ก่อตั้งสำนักที่นี่ และเปลี่ยนชื่อให้กลายเป็นมหาโลกะมรณะ
สำหรับเผ่าปีศาจนั้น หลัวซิวก็มีความเข้าใจอยู่บ้าง ซึ่งก็ถูกเรียกว่าซึ่งถูกเรียกว่าเผ่าพันธ์ุชั้นฟ้าพลีด้วย และความหมายก็คือเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกเทียนเต้าหรือสวรรค์ทอดทิ้งนั่นเอง
ต้นกำเนิดของเผ่าปีศาจนั้นต้องสืบสาวราวเรื่องกลับไปถึงบำเพ็ญเซียนปีศาจปรปักษ์สวรรค์ในยุคไท่ชูที่อยู่เหนือจักรวาลฟ้าดิน ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ไม่ได้รับการยอมรับจากกฎสวรรค์เป็นบำเพ็ญปรปักษ์ บำเพ็ญปีศาจ!
ทายาทของเหล่าบำเพ็ญเซียนปีศาจปรปักษ์สวรรค์ได้สืบทอดสายเลือดที่อยู่บนตัวพวกเขา จึงไม่ได้รับการยอมรับจากเทียนเต้าหรือสวรรค์เช่นกัน พวกเขาเรียกตัวเองว่าเผ่าปีศาจ หรือเผ่าพันธ์ุชั้นฟ้าพลี
ทว่าตั้งแต่ยุคไท่ชูเป็นต้นมา เผ่าปีศาจก็ค่อย ๆ เสื่อมทรุดลง หายเข้าไปในกลีบเมฆ เผ่าปีศาจที่พัฒนาในยุคหลัง แตกต่างจากเผ่าปีศาจในยุคไท่ชูโดยสิ้นเชิงตั้งนานแล้ว มีอุปนิสัยโหดร้ายโหดเหี้ยม
ในภพชาติของไท่ซ่างฉิง เขาเคยสืบสาวเรื่องราวที่เป็นความลับและเรื่องราวในอดีตของยุคโบราณ เคยพบเจอเบาะแสและการบันทึกเพียงไม่กี่ประโยค แท้จริงแล้วเผ่าปีศาจในยุคสิ้นสุดยุคไท่ชูนั้น ไม่ใช่ทายาทที่มีสายเลือดของบำเพ็ญเซียนปีศาจปรปักษ์สวรรค์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใหม่เอี่ยม ทำให้เมื่อผู้คนกล่าวถึงเผ่าปีศาจ ก็จะคิดว่าพวกเขาเป็นพวกโหดร้ายทารุณ
บำเพ็ญเซียนปีศาจปรปักษ์สวรรค์ส่วนมากล้วนดับสลายสูญสิ้นในศึกสงครามยุคไท่ชูแล้ว อัจฉริยะในเผ่าปีศาจก็โรยราเช่นกัน บวกกับการปรากฏของเผ่าปีศาจที่โหดร้ายทารุณ ทำให้เผ่าปีศาจที่แท้จริงทำได้เพียงอำพรางตัวตน เปลี่ยนแปลงโฉมหน้า ใช้ตัวตนที่ใหม่เอี่ยมดำรงอยู่ในโลกใบนี้
อดีตหลัวซิวไม่ทราบ เขาก็เพิ่งทราบในตอนหลังเช่นกัน แท้จริงแล้วตระกูลเทพสงครามก็เป็นทายาทที่มีสายเลือดของบำเพ็ญปรปักษ์ในยุคไท่ชูนี่แหละ มีเพียงฝึกเคล็ดเทพสงคราม ศักยภาพของตระกูลพวกเขาถึงจะได้รับการยกระดับ และเป็นเพราะตระกูลพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากกฎเทียนเต้า ทำให้เมื่อฝึกวรยุทธ์อื่น ๆ แล้ว ประสิทธิผลจึงมีน้อยมาก
ต่อมาเมื่อมาถึงยุควัฏสงสาร หลัวซิวสันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ทายาทของบำเพ็ญปรปักษ์เป็นผู้สนับสนุนศึกสงครามช่วงชิงชีวิตที่ต่อต้านจ้าววัฏสงสาร
หากบำเพ็ญปรปักษ์ต้องการคงอยู่ในโลก ก็จำเป็นต้องยึดกุมชะตาชีวิตของตัวเอง เมื่อมีคนยึดกุมระบบระเบียบของกฎเทียนเต้า จึงไม่มีทางอนุญาตให้อสูรจิตที่อยู่เหนือจักรวาลฟ้าดินอย่างบำเพ็ญปรปักษ์คงอยู่อย่างแน่นอน
ส่ายหน้าไปมา หลัวซิวสลัดความคิดในหัวทิ้ง บัดนี้เขาก็เป็นบำเพ็ญปรปักษ์คนหนึ่งเช่นกัน อนาคตหากเขามีลูกหลาน ทุกอย่างก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าลูกหลานเขาต้องเดินบนเส้นทางของเขาเท่านั้น
ไม่รู้เพราะเหตุใด วินาทีนี้จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนโชคมาแล้วทำให้สมองปราดเปรื่อง มีความคิดที่บ้าคลั่งความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
สักวันถ้าเกิดมีคนสามารถเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของจักรวาลฟ้าดิน เช่นนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างบำเพ็ญแห่งเทียนเต้าหรือบำเพ็ญแห่งปรปักษ์สวรรค์แล้วใช่ไหม?
ไร้ลักษณ์ของเขาสามารถวิวัฒนาการวิถีทั้งปวงในฟ้าดิน และสามารถวิวัฒนาการวิถีบำเพ็ญปรปักษ์ออกมาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ในรายการของฟ้าดินหรือนอกฟ้าดิน ล้วนสามารถวิวัฒนาการวิถีทั้งปวงออกมาได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาสามารถบุกเบิกมหาโลกาในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมาได้ใช่หรือไม่?
ความคิดเช่นนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ทว่าในเวลานี้เอง จู่ ๆ หมอกดำที่อยู่ตรงหน้าก็สลายหายไป มีเงาลวงร่างหนึ่งบินออกมาจากด้านใน แล้วปรากฏตรงหน้าหลัวซิวภายในชั่วลมหายใจเดียว จากนั้นเงาลวงก็ผนึกรวมกันแล้วกลายเป็นร่างมนุษย์คนหนึ่ง