มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2675 สำนักเซียนต้าโหลว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2675 สำนักเซียนต้าโหลว
หลิวซิวรู้ดีว่า สิ่งที่ลวี่โหลวพูดออกมานั้น ไม่ได้คิดจะหยั่งเชิงเขาแต่อย่างใด เขาเข้าใจความคิดของลวี่โหลวอย่างถ่องแท้ แต่ตราเขามังกรฉิวจะอยู่ในมือเขาหรือไม่นั้น สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสักนิด
“ตราเขามังกรฉิวเก็บเอาไว้ที่เจ้าจะดีกว่า ในอนาคตภูเขาว่านเริ่นยังต้องพึ่งพาให้เจ้าเป็นผู้นำอีก” หลัวซิวพูดขึ้นเบา ๆ
ได้ยินเช่นนี้ ร่างกายของลวี่โหลวก็สั่นเทาเล็กน้อย นางย่อมเข้าใจความหมายแฝงของท่านนายเป็นอย่างดี ท่านนายพูดเช่นนี้ หมายความว่าท่านนายไม่อาจอยู่ที่ภูเขาว่านเริ่นได้ตลอดไป
อันที่จริงแล้ว ลวี่โหลวก็คาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง หลัวซิวไม่มีทางอยู่ที่ภูเขาว่านเริ่นได้ตลอดไป เขายังมีเรื่องอีกหลายอย่างที่ต้องทำ เพียงแต่ผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ยังต่ำไปเล็กน้อยเท่านั้น จึงยังไม่เพียงพอไปทำเรื่องเหล่านั้นเท่านั้นเอง
ทันทีที่เขาตระเตรียมความสามารถจนพร้อม เขาจะต้องจากภูเขาว่านเริ่นไปอย่างแน่นอน และไปทำในสิ่งที่ตนเองสมควรจะทำ
“ท่านนาย ควรตัดการกับสำนักมังกรฟ้าอย่างไรดี ?” ลวี่โหลวถาม
“เดิมทีธาตุดารานี้เป็นของภูเขาว่านเริ่นอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าสำนักมังกรฟ้าถูกสังหารแล้ว การยึดครองธาตุดารานี้กลับมา เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าควรทำเช่นไร”
หลัวซิวพูดขึ้นเบา ๆ “ด้วยความสามารถของสำนักมังกรฟ้า ถึงแม้ภูเขาว่านเริ่นจะตกต่ำเพียงใด ก็คงไม่ถึงขนาดปล่อยให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้มาโจมตีได้ เหตุการณ์เมื่อสามสิบล้านปีก่อน ยังมีเรื่องอื่นซ้อนเร้นอีกหรือไม่ ?”
“เบื้องหลังของสำนักมังกรฟ้า ยังมีสำนักเซียนต้าโหลวคอยสนับสนุนอยู่” น้ำเสียงของลวี่โหลวเคร่งเครียดขึ้นทันที
สำนักเซียนต้าโหลวในตอนนี้ สำหรับภูเขาว่านเริ่นแล้ว นับเป็นศัตรูที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน ถึงแม้มีสมบัติของพระราชวังกูเฟิงเอาไว้ในครอบครองแล้วก็ตาม แต่ภูเขาว่านเริ่นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักเซียนต้าโหลวอยู่ดี
เมื่อได้ยินลวี่โหลวพูดถึงเรื่องของสำนักเซียนต้าโหลว หลัวซิวจึงเพิ่งเข้าใจเรื่องเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน สำนักเซียนต้าโหลวเป็นศัตรูตัวฉกาจของภูเขาว่านเริ่นมาตลอด
ในยุคนั้น ภูเขาว่านเริ่นครอบครองธาตุดารานี้ ซึ่งอยู่ถัดจากธาตุดาราโหลว ทั้งสองฝ่ายมักเกิดการกระทบกระทั่งและต่อสู้กัน เพื่อแย่งชิงทรัพยากรและสมบัติอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อวันเวลาผลันเปลี่ยน ภูเขาว่านเริ่นก็ตกต่ำลง ส่วนสำนักเซียนต้าโหลวกลับยังคงรุ่งเรืองอยู่ดังเดิม
“พวกเราทำลายสำนักมังกรฟ้าแล้ว สำนักเซียนต้าโหลวไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉย ๆ อย่างแน่นอน” ลวี่โหลวพูดขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย ที่นางพูดเช่นนี้ออกมา เพราะหวังว่าท่านนายผู้มีที่มาที่ไปลึกลับผู้นี้ จะคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาได้
หลัวซิวไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของสำนักเซียนต้าโหลวมาก่อน เพราะในยุคที่ไท่ซ่างฉิงล่มสลาย ยังไม่มีสำนักเซียนต้าโหลว
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลวี่โหลวบรรยายออกมา เขาก็เข้าใจได้ว่า อาจารย์ปู่ของสำนักเซียนต้าโหลวเอง ก็เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับราชาเทพระดับเก้าเช่นเดียวกัน ตอนที่เขาบุกเบิกสำนักเซียนต้าโหลว ราชาเทพว่านเริ่นก็แก่ชรามากแล้ว อายุขัยอันยาวนานก็กำลังจะดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ภายหลัง ราชาเทพวัยหนุ่มสำนักเซียนต้าโหลวมาท้าดวลกับราชาเทพว่านเริ่น ถึงแม้อาจารย์ปู่ราชาเทพของสำนักเซียนต้าโหลวจะพ่ายแพ้ไปในที่สุด แต่ราชาเทพว่านเริ่นที่เดิมทีเหลืออายุขัยอยู่เพียงไม่มาก ก็ได้รับผลเสียไม่น้อยจากการต่อส้ครั้งนี้ มิเช่นนั้นก็คงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายล้านปี
ดังนั้น ระหว่างภูเขาว่านเริ่นกับสำนักเซียนต้าโหลว เรียกได้ว่าเป็นทั้งศัตรูตัวฉกาจ และศัตรูคู่แค้น
หลายปีมานี้ สำนักเซียนต้าโหลวคอยสนับสนุนให้สำนักมังกรฟ้ารุ่งเรืองขึ้น ก็เพื่อเป็นการหยั่งเชิงภูเขาว่านเริ่นทีละก้าว ๆ ทันทีที่มั่นใจว่าภูเขาว่านเริ่นไม่มีมรดกหลงเหลืออยู่สักเท่าไรแล้ว สำนักเซียนต้าโหลวก็จะต้องชิงลงมืออย่างแน่นอน
“เพราะอดีตอันยาวนาน มีข่าวลือไปทั่วหล้าว่า อาจารย์ปู่ว่านเริ่นของเรา มีทหารจักรวรรดิเลิศล้ำที่ทรงพลานุภาพอย่างยิ่งอยู่ในมือหนึ่งชิ้น หลายปีมานี้ สำนักเซียนต้าโหลวจึงไม่เคยกล้าแตะต้องพวกเรา อาจเป็นเพราะกลัวทหารจักรวรรดิเลิศล้ำที่อาจอยู่ที่นี่”
เรื่องเกี่ยวกับทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ ในประวัติศาสตร์ของภูเขาว่านเริ่นเองมีการบอกเล่ากันปากต่อปาก แต่กลับไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน
ในตอนนั้นที่หลัวซิวให้ราชาเทพว่านเริ่นสร้างที่นี่และทิ้งมรดกเอาไว้ ราชาเทพว่านเริ่นก็ไม่เคยนำตราเขามังกรฉิวออกมาใช้อีก ถึงแม้จะถูกอาจารย์ปู่ราชาเทพของสำนักเซียนต้าโหลวผู้นั้นท้าดวล เขาก็ไม่เคยใช้ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ เพราะเกรงว่าหากทหารจักรวรรดิเลิศล้ำปรากฏออกมา จะเป็นการนำภัยมาสู่ภูเขาว่านเริ่น
“ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ว่าจะมาไม้ไหนก็มีวิธีรับมือได้ทั้งนั้น ต่อให้สำนักเซียนต้าโหลวจะมีความสามารถที่แข็งแกร่ง แต่หากต้องการประมือกับภูเขาว่านเริ่นของเรา ก็จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเช่นกัน” หลัวซิวพูดขึ้นเบา ๆ
เมื่อเห็นเขาสงบนิ่งเช่นนี้ ลวี่โหลวเองก็รู้สึกวางใจ เพราะนางรู้ดีว่า ท่านนายผู้นี้ มีที่มาที่ไปที่ลึกลับเหลือประมาณ
ในเวลาเดียวกันนี้ ข่าวที่สำนักมังกรฟ้าถูกภูเขาว่านเริ่นกำจัดก็เกิดป็นความโกลาหลครั้งใหญ่ และได้ยินไปถึงหูของกองกำลังต่าง ๆ
ธาตุดารามังกรฟ้าถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง ย้อนกลับไปเหมือนเมื่อสามสิบล้านปีก่อนที่ภูเขาว่านเริ่นเป็นผู้ถือครอง
ตอนที่ภูเขาว่านเริ่นประกาศเรื่องนี้ ได้เชิญสำนักต่าง ๆ ที่อยู่ภายในธาตุดารามาร่วมพิธี เพื่อเป็นการแสดงออกว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบล้านปี ที่ภูเขาว่านเริ่นจะกลับมาครอบครองธาตุดารานี้อีกครั้ง และเป็นเจ้าแห่งธาตุดารานี้อย่างสมบูรณ์
“ภูเขาว่านเริ่นกำลังจะรุ่งเรืองขึ้นอย่างฉับพลันอย่างนั้นหรือ ?”
กองกำลังต่าง ๆ ล้วนหันมองหน้ากัน เพราะหลายคนต่างก็รู้ดีว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังและเป็นที่พึ่งให้กับสำนักมังกรฟ้าก็คือสำนักเซียนต้าโหลว
ถึงแม้สำนักเซียนต้าโหลวจะไม่มีผู้แข็งแกร่งในระดับราชาเทพระดับเก้า ดำรงตำแหน่งผู้นำแล้ว แต่ก็เป็นรองแค่เพียงผู้สืบทอดอันแข็งแกร่งในระดับแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ภูเขาว่านเริ่นกวาดล้างสำนักมังกรฟ้า และต้องการครอบครองธาตุดาราใหม่อีกครั้ง แล้วสำนักเซียนต้าโหลวจะทนดูอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรได้อย่างไร ?
ภายในธาตุดารา กองกำลังต่าง ๆ ล้วนเกิดความปั่นป่วน ความสามารถของสำนักมังกรฟ้านั้น เทียบไม่ได้กับสำนักเซียนต้าโหลวเลยสักนิด ทุกคนต่างไม่เข้าใจเลยว่า ภูเขาว่านเริ่นไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าเป็นปรปักษ์กับสำนักเซียนต้าโหลวเช่นนี้
หลายปีมานี้ ภูเขาว่านเริ่นถูกกดขี่โดยสำนักมังกรฟ้าซึ่งมีสำนักเซียนต้าโหลวคอยหนุนหลังอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นประจักษ์ชัดแจ้ง และภูเขาว่านเริ่นเองก็มักจะยอมอ่อนข้อให้เสมอ แต่ทว่า จู่ ๆ กับกวาดล้างสำนักมังกรฟ้า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปหรือไม่ ?
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับภูเขาว่านเริ่น ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาของนักยุทธ์จำนวนมากที่อยู่ในธาตุดาราว่านเริ่นและธาตุดาราต้าโหลว และมีการคาดเดาออกไปต่าง ๆ นานา
“ได้ยินว่าสำนักเซียนต้าโหลวเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว ภูเขาว่านเริ่นคิดที่จะครอบครองธาตุดาราหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นหรอก”
“ต่อให้ประมุขเขาของภูเขาว่านเริ่นจะมีอาวุธเทพระดับเก้าอยู่ในมือ แต่ความสามารถทั้งหมดของภูเขาว่านเริ่น เมื่อเทียบกับสำนักเซียนต้าโหลวแล้ว เหมือนกับเขาหินไปกระทบไข่ ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า ในสำนักเซียนต้าโหลวมีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมายนับไม่ถ้วน และมีผู้มีพรสวรรค์รวมกันอยู่อย่างคับคั่ง มีผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดเป็นผู้อาวุโส ส่วนผู้คุมกฎที่อยู่ในระดับเทพมาระระดับเจ็ดนั้น ก็มีอยู่นับไม่ถ้วน !”
“ได้ยินว่า ในสำนักเซียนต้าโหลวยังมีอาจารย์ปู่ในระดับเทพมารระดับเก้าผู้หนึ่ง ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าอาจารย์ปู่ไคซานซึ่งอยู่ในระดับราชาเทพ แต่ความน่ากลัวที่มีอยู่นั้นก็เพียงพอจะกวาดล้างทั้งนวนภาทศพสุได้ !”
เมื่อกล่างถึงอาจารย์ปู่ของสำนักเซียนต้าโหลว กองกำลังอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบธาตุดาราต้าโหลวต่างก็นิ่งเงียบไปทันที เพราะผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้าส่วนใหญ่ จะนั่งเป็นหัวหน้าของผู้สืบทอดในแดนศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังในระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเป็นเจ้าแห่งอาณาจักรดาราที่แข็งแกร่งทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งที่สำนักตระกูลที่ครอบครองเพียงธาตุดาราจะสามารถทัดเทียมได้
สำนักเซียนต้าโหลวที่มีอาจารย์ปู่ในระดับเทพมารระดับเก้าคอยเป็นหัวหน้า เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังสูงสุด ที่เป็นรองเพียงแค่อดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หากเขาลงมือด้วยตนเอง กองกำลังใหญ่จำนวนมากที่ขึ้นว่าเป็นเจ้าแห่งเทพดารา คงจะต้องดับสูญไปในพริบตาอย่างแน่นอน
“ตำนานกล่าวว่า อาจารย์ปู่ของสำนักเซียนต้าโหลว มีอายุยืนยาวกว่าสามร้อยล้านปีแล้ว ?”
อายุขัยในโลกยุทธ์ ไม่มีระบุเวลาแน่ชัด มีเพียงความจริงอย่างหนึ่งที่ไม่อาจโต้เถียงได้นั่นก็คือ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถมีชีวิตได้ยาวนานกว่าหนึ่งยุคแห่งความโกลาหล ต่อให้เป็นยักษ์ตรีภพที่อยู่คู่กับสวรรค์ โลก พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ ก็ไม่อาจรอดพ้นขีดจำกัดนี้ได้
ชั่วชีวิตหนึ่งของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ เข่นฆ่าผู้คนนับไม่ถ้วน สู้รบกันไม่เคยหยุดพัก ทุกครั้งที่มีการเข่นฆ่าและสู้รบ ก็จะส่งผลกระทบต่ออายุขัยของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ผู้นั้นอย่างแน่นอน
เทพมารระดับห้าผู้หนึ่ง สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยล้านปี หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สามารถมีอายุได้มากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบล้านปี จากนั้นก็ละสังขาร
อายุขัยของเทพมารระดับหกไม่แตกต่างจากเทพมารระดับห้ามากนัก โดยจะมีอายุขัยไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบล้านปี
มีเพียงผู้ที่ก้าวเข้าสู่แดนเทพมารระดับเจ็ด และได้ครอบครองกฎพลังเต๋าเท่านั้น ที่จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นอย่างมาก และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยล้านปีขึ้นไป
ตั้งแต่เทพมารระดับเจ็ดไปจนถึงเทพมารระดับเก้า อายุขัยไม่ได้แตกต่างกันนัก มีเพียงแค่ระดับสูงต่ำของความสำเร็จเท่านั้น
เทพมารระดับเก้าธรรมดา ๆ ก็สามารถมีอายุขัยได้ถึงสามร้อยถึงสี่ร้อยปี
ได้ยินว่า มีเพียงผู้ที่ก้าวข้ามสุดร่าง และบรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้าเท่านั้น จึงจะมีชีวิตที่ยาวนานขึ้น และสามารถอยู่ได้ถึงห้าร้อยล้านปี
ตั้งแต่ราชาเทพระดับเก้าเป็นต้นไป ทุกครั้งที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของอาณาเขต อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และหากสามารถก้าวข้ามสุดร่างและบรรลุเป็นมกุฎเทพระดับเก้าได้ ก็จะมีชีวิตยาวนานถึงพันล้านปี จักรพรรดิเทพระดับเก้าอยู่ได้สองพันล้านปี และมหาจักรพรรดระดับเก้า ในตำนานกล่าวว่ามีชีวิตยืนยาวถึงหนึ่งหมื่นล้านปี !
หากก้าวข้ามมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าไปได้ ก็จะเป็นผู้สูงส่งแล้ว ในตำนานอันยาวนานกล่าวว่า อายุเขาของพวกเขายืนยาวและเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ได้ยินว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้หนึ่งแสนล้านปีขึ้นไป !
หากเป็นไปตามคาด อาจารย์ปู่ที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ของสำนักเซียนต้าโหลว ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อีกอย่างน้อยสิบล้านปี ขอเพียงแค่เขายังมีชีวิตต่ออีกเพียงหนึ่งวัน ฐานะและความสามารถของสำนักเซียนต้าโหลวก็ไม่มีวันโดนดูถูกและสั่นคลอนอย่างแน่นอน
วันนี้ ภูเขาว่านเริ่นเชิญกองกำลงัใหญ่ต่าง ๆ ภายในดาราธาตุมาร่วมพิธี หอคอยเทพนิรยวิภาที่เปล่งประกายสีดำขลับ ถูกลวี่โหลวเสกออกมา และกลายเป็นหอคอยเทพคู่บารมีที่สูงตระหง่าน ลอยอยู่บนก้อนเมฆเหนือภูเขาว่านเริ่น
อาวุธเทพระดับเก้านำมาซึ่งโชค หลังจากการประกาศในครั้งนี้ ก็จะไม่มีใครกังขาตำแหน่งเจ้าแห่งธาตุดาราของภูเขาว่านเริ่นได้อีก !
ในตอนนั้น สำนักมังกรฟ้าเองก็เสกเตาเทพเลือดมังกรฟ้าออกมาเพื่อนำพาโชค และขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าแห่งเทพดารานี้
มีคำกล่าวที่ว่า สมบัติผลัดกันชม ในตอนนั้นสำนักมังกรฟ้าเอาชนะภูเขาว่านเริ่นและขึ้นเป็นเจ้าแห่งธาตุดารายุคใหม่ ส่วนตอนนี้ ภูเขาว่านเริ่นก็เรืองรองขึ้นอีกครั้ง กวาดล้างสำนักมังกรฟ้า และขึ้นดำรงแหน่งเจ้าแห่งธาตุดาราอีกครั้ง
บรรยากาศบนภูเขาว่านเริ่นคึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้หลายคนจะสบประมาทเรื่องการต่อสู้ระหว่างภูเขาว่านเริ่นกับสำนักเซียนต้าโหลว แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะล่วงเกินภูเขาว่านเริ่นที่กำลังรุ่งเรืองอยู่ในเวลานี้
กองกำลังต่าง ๆ ล้วนส่งคนมาร่วมพิธี แต่คนที่ส่งมานั้น กลับไม่ใช่บุคคลที่มีความสำคัญ เห็นได้ชัดว่า ทั้งไม่เป็นการล่วงเกินภูเขาว่านเริ่นและไม่เป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับสำนักเซียนต้าโหลวได้ในเวลาเดียวกัน
ลวี่โหลวแต่งตวเข้าร่วมพิธี นางสวมชุดหนีฉางสีฟ้า ริบบิ้นลอยอยู่รอบตัวของนาง ราวกับนางฟ้าที่ลงมาจุติจากสรวงสวรรค์
นางยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาว่านเริ่น มีหอคอยเทพนิรยวิภาลอยอยู่เหนือศีรษะ ข้างกายนาง มีธิดาเทพหงเหยียน รวมไปถึงผู้อาวุโสใหญ่ยืนอยู่
ส่วนผู้อาวุโสใหญ่อื่น ๆ ทั้งห้าคน สามในห้าถูกลดขั้น ส่วนอีกสองคนจากไปแล้ว ทำให้ภายในสำนัก มีผู้ฝึกตนในระดับเทพมารระดับเจ็ดขึ้นไป หลงเหลืออยู่เพียงแค่สองคน
“หึ อาศัยเพียงโชคจากอาวุธเทพระดับเก้าชิ้นหนึ่ง ภูเขาว่านเริ่นก็คิดจะขึ้นเป็นเจ้าแห่งเทพดาราแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
ตอนนี้เอง มีเสียงแสดงความไม่พอใจดังขึ้นจากขอบฟ้า เทวพยัคฆ์ตัวหนึ่งเหาะมากลางอากาศ บนหลังของเทวพยัคฆ์มีร่าง ๆ หนึ่งนั่งอยู่ มีกฎพลังเต๋าแผ่กระจายออกมาอย่างรุนแรง ทำให้บรรดากองกำลังที่มาเข้าร่วมพิธีต่างหน้าถอดสี
เทวพยัคฆ์มีรูปร่างกำยำ ลำตัวยางถึงร้อยจ้าง มีออร่าของเทพมารระดับเจ็ด ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังของเทวพยัคฆ์ตัวนี้ ซึ่งเป็นถึงอสูรกายในระดับเทพมารระดับเจ็ด ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ที่แท้ก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดนี่เอง
“จักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์ หลู่ปู้เหว่ย !” เมือ่เห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ก็มีคนอุทานออกมาอย่างตกใจ
“คิดไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์จะเดินทางมาด้วยตนเอง” มีคนพึมพำขึ้นว่า “จักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์เป็นผู้อาวุโสของสำนักเซียนต้าโหลว มีชื่อเสียงอันยาวนาน ได้ยินมาว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง”
ผลการฝึกตนในแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง ทั้งมีชื่อเสียงอันยาวนาน และไม่ความสามารถที่เหนือกว่าเจ้าสำนักมังกรฟ้าไม่รู้กี่เท่า
ลวี่โหลวเองไม่ได้สนใจ และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “หากจักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์มาเพื่อเข้าร่วมพิธี ก็เชิญนั่ง”
“ร่วมพิธี ?” หลู่ปู้เหว่ยส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา “ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าสำนักภูเขาว่านเริ่น และมีผลการฝึกตนเพียงแค่เทพมารระดับแปดช่วงปลายเท่านั้น ด้วยความสามารถเพียงเล็กน้อยของภูเขาว่านเริ่นของเจ้า ก็คิดว่าจะมีสิทธิ์เชิญข้ามาร่วมพิธีอย่างนั้นหรือ ?”
คำพูดของหลู่ปู้เหว่ยเรียกได้ว่าไม่มีมารยาทเลยสักนิด เป็นการดูถูกเหยียดหยามภูเขาว่านเริ่นอย่างเห็นได้ชัด