มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2693 ถูโยวหมิง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2693 ถูโยวหมิง
“มดตัวจ้อยอย่างเจ้ายังค้นพบได้เลย เหตุใดเราจึงค้นพบไม่ได้เล่า?”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูดประโยคหนึ่ง คนดังกล่าวถูกค่ายกลที่เขาทิ้งไว้เมื่อชาติปางก่อนกักขัง ไม่ว่าผลการฝึกตนของเขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ทำอะไรไม่ได้
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็เบื่อที่จะสนใจฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน เงาร่างเขากระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะย่างเท้าเดินไปข้างหน้า
“ค่ายกลต้องห้ามของที่นี่ไม่โจมตีเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นกิริยาท่าทางของหลัวซิว เงาลวงร่างมนุษย์นั่นก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ ทว่าหลังจากเขาเห็นหลัวซิวเดินเข้าไปอย่างราบรื่นแล้ว เขาก็อ้าปากค้างตะลึงงันไปเลย
“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจค่ายกล เจ้าที่ไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องค่ายกลเลยก็บังอาจบุกเข้ามาในนี้อย่างนั้นรึ นี่มันเป็นการรนหาที่ตายอยู่ชัด ๆ”
หลัวซิวหัวเราะอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง เขาดูจากตำแหน่งที่เงาลวงร่างมนุษย์นั่นถูกกักขัง ก็ทราบแล้วว่าเจ้าหมอนั่นต้องไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลแน่นอน หากเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องค่ายกล ถึงแม้จะไม่ได้รับของที่อยู่ในนี้ ก็ไม่ควรถูกกักขังอยู่บริเวณนั้น
“เจ้า……”หลัวซิวแทบจะทำให้เงาลวงร่างมนุษย์นั่นกระอักเลือด เขาคือผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง มดตัวจ้อยที่เป็นเพียงเทพมารระดับหกบังอาจเยาะเย้ยข้าอย่างนั้นหรือ?
ทว่าเขาก็เข้าใจเช่นกันว่าที่ชายหนุ่มคนนี้พูดมามันไม่มีผิดเลย เขาไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลจริง ๆ บังเอิญค้นพบสถานที่แห่งนี้ แล้วเห็นว่ามีสมบัติที่ไม่สามารถประมาณค่าได้มากมายเช่นนี้ เมื่อนั้นปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือพุ่งเข้าไป สังเกตไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีค่ายกลต้องห้ามที่ทรงพลังคงอยู่ด้วย
แต่ว่ามันสายเกินไปแล้วที่เขาจะรู้สึกเสียใจทีหลัง มาตรแม้นว่าผลการฝึกตนของเขาจะเป็นเทพมารระดับแปดขั้นสูง หลังจากถูกลายค่ายกักขังแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาสามแสนกว่าปีแล้ว เขาขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ตาแก่ถือว่าเจ้าโชคดีที่เจ้าแค่สัมผัสค่ายยากเย็นของที่นี่ หากสิ่งที่เจ้าสัมผัสคือค่ายสังหารละก็ เจ้าคงตายไปตั้งนานแล้ว”
หลัวซิวพูดอย่างดูถูกอีกหนึ่งประโยค จากนั้นเขาก็ไม่สนใจฝ่ายตรงข้ามอีกเลย โบกมือนำตัวเซียนพรสวรรค์ต่าง ๆ นานาที่กองกันเท่าภูเขาเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ
เมื่อมีเหล็กเศษณ์ทองเซียนที่มากมายเช่นนี้ เขามั่นใจว่าอนาคตตนสามารถชุบร่างยุทธ์ร่างเนื้อของตนให้ขึ้นไปถึงระดับที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิม ถึงแม้จะถูกพันธนาการจากผลการฝึกตนตัวเขาเอง ร่างเนื้อของเขาจะยังคงอยู่ในสถานะร่างเทวระดับเจ็ด แต่ก็แข็งแกร่งกว่าอดีตหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน
สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ เมื่อดูดกลืนพละกำลังพรสวรรค์แล้วชุบร่างเนื้อ จะทำให้ศักยภาพในร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ศักยภาพในการเจริญเติบโตก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย
“เจ้าหนู เก็บไว้ให้ข้าบ้างสิ!”
เมื่อเงาลวงร่างมนุษย์เห็นว่าหลัวซิวเอาของทั้งหมดไปแล้ว เขาจึงแหกปากตะโกนเสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้ เขาติดอยู่ที่นี่สามแสนกว่าปีแล้ว แต่กลับไม่ได้อะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วเขาจะยอมได้อย่างไร?
“ของที่อยู่ในนี้มันเป็นของข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เหตุใดข้าจึงต้องให้เจ้าด้วยเล่า?”
หลัวซิวเบ้ปากพลางพูด: “เจ้าควรรู้สึกโชคดีนะที่เจ้ายังไม่ได้แสดงเจตนาร้ายใด ๆ ต่อข้า มิเช่นนั้นละก็ ข้าคงกระตุ้นตัวต้องห้ามปลิดชีพเจ้าไปตั้งนานแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เงาลวงร่างมนุษย์นั่นก็หุบปากทันที ถึงแม้เขาจะรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อยก็ตามว่าผลการฝึกตนของเจ้าหมอนี่เป็นเพียงเทพมารระดับหก แล้วจักมีทางกระตุ้นค่ายกลต้องห้ามของที่นี่ได้อย่างไร ทว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเรื่องไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ที่ฝึกตนขึ้นมาถึงแดนอย่างเขานั้น ก็เป็นผู้ที่ทะนุถนอมชีวิตตัวเองมาก ๆ
หลัวซิวก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน พาลาร์ออกไปจากที่นี่ ได้รับตัวเซียนพรสวรรค์มามากเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องหาสถานที่ฝึกตนปิดขังก่อน
ส่วนตาแก่โชคร้ายที่ถูกค่ายกลกักขังนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้ไปปล่อยเขาออกมาเช่นกัน อย่างไรเสียจิตใจมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่คาดเดายากที่สุดแล้ว บนตัวเขามีทรัพย์สินที่น่าทึ่งเช่นนี้ แล้วผู้ใดจักไม่หวั่นไหวบ้างเล่า?
“นายท่าน ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าปิดปากหรือขอรับ?”ขณะที่เดินออกมา ลาร์ก็ยังคงรู้สึกสงสัยเล็กน้อยอยู่เช่นเคย
เขารู้สึกว่าวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการฆ่าปิดปาก เช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดทราบแล้วว่าบนตัวนายท่านมีสมบัติที่มากมายเช่นนี้
อีกทั้งจากความเข้าใจของเขาที่มีต่อนายท่าน สำหรับเรื่องฆ่าคน นายท่านไม่เคยใจอ่อนมาก่อนเลยนะ
หลัวซิวแค่ยิ้มให้เขาเท่านั้น ความทรงจำของลาร์ที่มีต่อเขายังหยุดอยู่กับไท่ซ่างฉิงในอดีต ชาตินี้เขาคือหลัวซิว ซึ่งไม่ใช่ไท่ซ่างฉิงอีกต่อไปแล้ว
การที่จะฆ่าหรือไม่ฆ่าผู้ที่ติดอยู่ในค่ายกลนั้น มันไม่มีความหมายอะไรต่อหลัวซิวแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงค่ายกลที่เขาทิ้งไว้เมื่อภพชาติก่อน จากผลการฝึกตนของคนดังกล่าว แทบจะไม่มีทางหลุดพ้นออกมาได้เลย
ต่อให้เขาหลุดพ้นออกมาได้แล้วอย่างไร? เทพมารระดับแปดขั้นสูงคนหนึ่งยังทำอะไรเขาไม่ได้ เมื่อได้รับตัวเซียนพรสวรรค์ที่มากมายเช่นนี้มา ศักยภาพของเขาจะได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
……
เวลาล่วงเลยไป กาลเวลาไร้ความปราณี เพียงชั่วพริบตาเดียวระยะเวลาก็ผ่านพ้นไป 30 ปีแล้ว
ตัวเซียนพรสวรรค์ที่ล้ำค่าอย่างยิ่งที่กองอยู่ข้างกายหลัวซิวกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว หากผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้ามองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คงจะตีอกชกหัว เจ็บใจอย่างยิ่ง
พละกำลังพรสวรรค์ที่ไร้ขอบเขตผนึกรวมกันอยู่ในร่างกาย หลัวซิวโคจรวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์แล้วกลั่นแปรมันอย่างต่อเนื่อง ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขามีการพัฒนาที่น่าทึ่งมาก บรรลุถึงแดนร่างเทวระดับเจ็ดขั้นสูงแล้ว
ผลการฝึกตนของเขาก็มีการยกระดับเช่นกัน จากเทพมารระดับหกขั้นปฐมภูมิ ขึ้นมาเป็นเทพมารระดับหกช่วงกลาง
ความแข็งแกร่งของร่างยุทธ์ร่างเนื้อทำให้หลัวซิวไม่นำการข้ามผ่านทัณฑ์ของตัวเองมาใส่ใจแล้ว หลังจากทัณฑ์สายฟ้าสิ้นสุดไปแล้ว เขาก็สัมผัสได้ว่าภายในร่างกายตัวเองเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่มากมายมหาศาลและแข็งแกร่งกว่าอดีต
“แม้นจะเป็นเพียงร่างเทวระดับเจ็ดขั้นสูง ทว่ากลับเพียงพอที่จะสยบร่างเทวระดับแปดแล้ว”
หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจต่อการบรรลุของตัวเองมาก ๆ มาตรแม้นว่าเป็นเขาเมื่อภพชาติก่อน ขณะที่อยู่ในแดนร่างเทวระดับแปด ร่างเนื้อก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าปัจจุบันเลย
อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ตายตัวชั่วนิรันดร์ของการฝึกยุทธ์ก็คือยิ่งแข็งแกร่งยิ่งบรรลุยาก ดูดกลืนกลั่นแปรพละกำลังพรสวรรค์ไปเป็นจำนวนมาก ถึงแม้เขาจะบรรลุถึงร่างเทวระดับเจ็ดขั้นสูง แต่ถ้าเกิดอยากพัฒนาให้ขึ้นไปถึงร่างเทวระดับแปดละก็ อาศัยแค่การดูดกลืนพละกำลังพรสวรรค์กลับไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการบรรลุแล้ว
“เราไปกันเถอะ”
หลังจากผ่านไปไม่นาน หลัวซิวและลาร์ก็มาถึงดารามังกรดำที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งเข้าไปในสถานที่ที่มีชื่อว่าเมืองเยว่คงบนดารามังกรดำ
นายแห่งดารามังกรดำคือผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารแดนเทพมารระดับแปดคนหนึ่ง จอมยุทธ์ส่วนมากที่เคลื่อนไหวอยู่บนดาราดวงนี้ก็ล้วนเป็นผู้ที่ระดับแดนค่อนข้างต่ำ ผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับเจ็ดนั้นหาพบได้น้อยมากแล้ว
เมื่ออยู่ในสถานที่ประเภทนี้ หลัวซิวไม่มีความจำเป็นต้องอำพรางผลการฝึกตนของตนเอง ออร่าผลการฝึกตนเทพมารระดับหกที่เดินอยู่บนถนนไม่โดดเด่นเลยด้วยซ้ำ แต่ก็จะไม่ถูกผู้อื่นดูถูกเช่นกัน เนื่องจากผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ส่วนมากต่ำกว่าเขาไม่น้อยเลย
“ไสหัวออกไป!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวดังก้องอยู่บนถนน ถัดจากนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งบินออกมาจากประตูใหญ่ของสถานที่ที่มีชื่อว่าหออาโปรมย์ เสียงปั้งดังขึ้นแล้วร่างก็กระแทกลงพื้น จนฝุ่นคลุ้งไปทั่ว
นั่นคือชายที่ร่างกายปกคลุมอยู่ในชุดคลุมยาวดำ ถึงแม้หลัวซิวจะไม่เห็นหน้าเขา ทว่ากลับสามารถสัมผัสความรู้สึกที่ซึมเซาถึงขีดสุดได้จากตัวเขา
ในขณะที่ชายชุดคลุมยาวดำกำลังจะลุกขึ้นมาอยู่นั้น แต่จู่ ๆ ก็มีเท้าข้างหนึ่งพุ่งตรงมา เหยียบลงบนศีรษะเขา อีกทั้งยังออกแรงย่ำสองครั้งด้วย
“ถูโยวหมิง มึงกล้าหาญไม่น้อยเลยนี่ มาเล่นสนุกกับสตรีในหออาโปรมย์ของเราแต่กลับไม่จ่ายตังค์อย่างนั้นรึ มึงแม่งใช้ชีวิตจนเอียนแล้วใช่หรือไม่?”
ผู้ที่ใช้เท้าเหยียบชายชุดคลุมยาวดำคือชายร่างยักษ์ที่เปิดเผยร่างกายส่วนบน ขณะที่พูดเขายังถ่มน้ำลายออกมาด้วย ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดูถูกดูแคลน
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดนี้ก็ทราบแล้วว่าหออาโปรมย์คือสถานที่แบบใด ดังคำกล่าวที่ว่าความสัมพันธ์สามีภรรยาเข้ากันได้ดีดั่งปลากับน้ำ ดูท่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่เป็นทำนองเดียวกันกับซ่องโสเภณีของชาวบ้านธรรมดาในโลกาภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นภพชาติก่อนหรือภพชาตินี้ หลัวซิวก็ต่างเคยได้ยินสถานที่ประเภทนี้เช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วสตรีที่อยู่ในสถานที่ประเภทนี้ล้วนฝึกวิชาฝึกคู่ เมื่อบุรุษแจ้นมาเล่นกับสตรีในสถานที่ประเภทนี้ต้องจ่ายตังค์ไม่ว่า ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงที่อยู่ในซ่องยังสามารถอาศัยขณะที่มีอะไรกันยกระดับผลการฝึกตนของตัวเองด้วย
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็สามารถมองเห็นสตรีจำนวนไม่น้อยที่โป๊เปลือยกายอยู่ในหออาโปรมย์ มีทั้งสตรีที่มีเสน่ห์มนต์ขลังดั่งมาร บริสุทธิ์ดั่งเทพธิดา และมีสตรีที่อ่อนโยนดั่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
“นายท่าน คนคนนั้นเหมือนจะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมินะขอรับ……”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังดึงสายตากลับมาจากหออาโปรมย์อยู่นั้น จู่ ๆ ลาร์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยปากพูดหนึ่งประโยค
“ว่าอย่างไรนะ!?”
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดนี้ก็ผงะไปอย่างควบคุมไม่ได้ ที่เขาเดินทางมาดารามังกรดำนั้น เขาไม่มีเป้าหมายแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นหลังจากมาถึงที่นี่ก็ไม่ได้แผ่พลังตัวสำนึกออกไปสำรวจมั่วซั่วเช่นกัน ทว่าเจ้าลาร์กลับแตกต่างกัน เขาแผ่ตัวสำนึกของตัวเองไปมา ก่อนจะพบว่าชายชุดคลุมยาวดำที่มีนามว่าถูโยวหมิงนั่นคือมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิ
ตัวสำนึกของหลัวซิวแผ่ขยายออกไป เมื่อมองเห็นโฉมหน้าของชายชุดคลุมยาวดำแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักทีว่าเหตุใดเมื่อครู่เขาถึงรู้สึกคุ้นเคยต่อแผ่นหลังของฝ่ายตรงข้าม เจ้าหมอนี่ใช่มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิจริง ๆ อย่างนั้นหรือ
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิที่อยู่ที่อยู่ในมหาโลกาพันสามคือผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่คงอยู่มาหลายร้อยล้านปีแล้วนะ เมื่อปีนั้นหลังจากได้รับยันต์ทะลุฟ้าหนึ่งชิ้นจากเผ่าจี้ หลัวซิวก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย
ถึงแม้ระหว่างเขาและมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิจะเคยมีปัญหาความขัดแย้งกันอยู่บ้าง ทว่าการที่เขาดึกดำบรรพ์ถูกล้มล้างนั้น กลับเกิดจากการร่วมมือกันของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิและเขา ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงวางความรู้สึกแสลงใจในอดีตลง ความสัมพันธ์ก็ถือว่าค่อนข้างดีเลย
เมื่อนึกคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวจึงย่างเท้าเดินตรงไป และในเวลานี้เอง ชายจากหออาโปรมย์นั่นก็ยกเท้าขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะเหยียบร่างมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิแรง ๆ
แต่ทว่าในเมื่อหลัวซิวเดินตรงมาแล้ว ย่อมไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือต่อถูโยวหมิงอยู่แล้ว เห็นเพียงเขาดีดนิ้วทีหนึ่ง ชี่จิ้งดวงหนึ่งจึงระเบิดพุ่งตรงไป ดีดเข้ากับฝ่าเท้าของชายร่างยักษ์นั่นจนกระเด็นออกไป
“ผู้ใด!”
ชายร่างยักษ์ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นสายตาก็ร่วงลงบนตัวชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่เดินตรงมาทางนี้
“เรื่องของหออาโปรมย์กู มึงก็กล้าเสือกอย่างนั้นรึ อยากตายหรือไง?”
ชายร่างยักษ์เดินตรงเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มอันเยือกเย็น เขาสูงมาก ๆ สูงเกือบแปดฟุต เดินไปถึงหน้าหลัวซิว แล้วก้มมองเขาลงมาจากที่สูง สภาพดูดุร้ายโหดร้าย
“เจ้าหนู บังอาจพูดจาเช่นนี้กับนายท่านกู มึงอยากตายรึ?”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ต่ำทุ้มปานฟ้าร้องดังก้องขึ้นมา ชายร่างยักษ์มึนงงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่ามีเงามืดหนึ่งแผ่คลุมมา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามอง ถึงจะเห็นว่าด้านหลังของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่ถูกตัวเองมองกราดลงมาจากที่สูง มีชายที่สูงเกือบสามเมตร ราวกับยักษ์จิ๋วหอเหล็กยืนอยู่คนหนึ่ง
ซึ่งผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวก็ต้องเป็นลาร์อยู่แล้ว แม้นเขาจะหดร่างเดิมลงมาแล้ว นั่นก็เป็นยักษ์จิ๋วที่ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็เป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนอย่างแน่นอน
ผลการฝึกตนของชายร่างยักษ์แห่งหออาโปรมย์คือเทพมารระดับหก ส่วนลาร์กลับเป็นเทพมารระดับเจ็ด นี่จึงทำให้มีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากชายร่างยักษ์ทันที
“บังอาจขวางทางนายท่านกู ไสหัวไป!”
ลาร์ตะคอกเสียงดัง จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือตบชายร่างยักษ์แห่งหออาโปรมย์นั่นจนกระเด็นออกไป
สำหรับการลงมือของลาร์นั้น หลัวซิวไม่มีท่าทีที่จะห้ามปรามแต่อย่างใด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนดารามังกรดำก็เป็นเพียงเทพมารมังกรดำระดับแปด เขาที่อยู่บนนี้ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวระมัดระวังขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ
“สหายโยหมิง ยังจำข้าได้หรือไม่?”หลัวซิวย่างเท้าเดินตรงไป ยืนอยู่ด้านหลังถูโยวหมิงพลางพูดหนึ่งประโยค