มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2698 ประมุขดารามังกรดำ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2698 ประมุขดารามังกรดำ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของชายวัยกลางคนหออาโปรมย์ก็แข็งทื่อลงไป “เรื่องนี้หออาโปรมย์ของเราเป็นฝ่ายผิดจริง ๆ ทว่าเบื้องล่างคนนั้นของข้าก็เคยถูกเจ้าอบรมสั่งสอนไปแล้ว”
“เจ้าพูดง่ายสิ เจ้าเอาโอสถแก่นแท้ระดับเจ็ดออกมาสิบล้านเม็ด แล้วข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อเรื่องนี้อีก”หลัวซิวหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วพูด
“สิบล้านเม็ด?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว ชายวัยกลางคนก็หัวเสียมากจนแทบจะเป็นลมไป ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ต่างตกใจจนสะดุ้งเช่นกัน
มูลค่าของโอสถแก่นแท้ระดับเจ็ดไม่ใช่สิ่งที่ระดับหกสามารถเทียบเคียงได้ เนื่องจากนี่เป็นทรัพยากรที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดต้องการ จำนวนสิบล้านนั้น แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงส่วนมากยังเอาออกมาไม่ได้เลย
อย่างไรเสียโอสถแก่นแท้ก็ไม่ได้ใช้แค่ขณะฝึกตนเท่านั้น การซื้อขายแลกเปลี่ยนสมบัติวัตถุดิบต่าง ๆ ก็ดำเนินการโดยโอสถแก่นแท้เช่นกัน จอมยุทธ์จำนวนมากล้วนขาดแคลนโอสถแก่นแท้มาก แล้วจะนับประสาอะไรกับโอสถแก่นแท้ระดับเจ็ดสิบล้านเม็ดล่ะ?
แน่นอนอยู่แล้วว่าหลัวซิวไม่มีความคิดที่จะเอาจริง ๆ ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็ไม่ได้จะหาเรื่องหออาโปรมย์เช่นกัน แต่จะล่อท่านหมี่ออกมา
เขาก็ถือว่าดูออกแล้วว่าชายวัยกำลังคนในหออาโปรมย์นี่กำลังถ่วงเวลาอยู่ เห็นได้ชัดเจนเลยเขาก็กำลังรอผู้แข็งแกร่งเร่งเดินทางมาจัดการเรื่องนี้ หลัวซิวจึงเลือกที่จะเล่นละครเป็นเพื่อนเขาซะเลย
“พ่อหนุ่มช่างโลภยิ่งนัก ไม่กลัวได้มากเกินจนทำเอาตัวเองจุกตายหรือ!”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นสะท้อนมาจากนอกหออาโปรมย์ ถัดจากนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏในหออาโปรมย์ ก่อนจะง้างมือปล่อยพลังฝ่ามือตรงไปทางหลัวซิว
หลัวซิวไม่ต้องใช้ตามองก็ทราบแล้วว่าผู้มาเยือนคือท่านหมี่ วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการเกณฑ์วัฏสงสาร จากนั้นก็มีเงาลวงวัฏสงสารร่างหนึ่งปรากฏด้านหลังเขา ภายใต้การปลุกเสกจากพลังวัฏสงสาร หลัวซิวจึงปล่อยหมัดอออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ตู้มม!”
หมัดและฝ่ามือพุ่งชนกัน ทำให้เกิดเป็นคลื่นพลังที่ล้นฟ้ากระเพื่อมออกไป มาตรแม้นว่าเป็นหออาโปรมย์ที่มีการปลุกเสกจากค่ายกลต้องห้าม ก็ต้านทานพลังอันมากมายมหาศาลที่ซัดกระหน่ำไม่ได้ เสียงตู้มดังลั่นขึ้นแล้วพังทลายลงไป
ผู้คนที่อยู่ในหออาโปรมย์ในตอนแรกต่างตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะหลบหนีออกไปอย่างอลหม่าน สีหน้าของสตรีแต่ละนางดูหวาดหวั่นพรั่นพรึง โดยทั่วไปแล้วจะเกิดการต่อสู้ในสถานที่อย่างหออาโปรมย์น้อยมาก
เท้าทั้งสองข้างของหลัวซิวถูไถกับพื้นดินจนเกิดเป็นร่องสองร่อง หินดินกลิ้งไหล กระทั่งถอยออกไปหลายร้อยเมตรแล้ว เขาก็รู้สึกชาตรงกำปั้น กระดูกแตกร้าว
ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงร่างเทวระดับเจ็ดขั้นสูง และดูดกลืนพละกำลังของสมบัติไปเป็นจำนวนมาก บวกกับมีการปลุกเสกจากวิชาสลักแห่งตน แต่ก็พอถูไถต่อกรกับเทพมารระดับแปดได้เท่านั้น
“ลาร์!”
หลัวซิวตะคร้องเสียงดังลั่นคำหนึ่ง ไม่ต้องให้เขาสั่งการ ลาร์ก็คำรามอย่างพิโรธ ก่อนจะผันร่างเป็นร่างดั้งเดิมที่ยาวหลายร้อยเมตร บนร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารมีสายฟ้าที่นับไม่ถ้วนตัดสลับไปมา แล้วพุ่งตรงเข้าไปพร้อมกับกระบองเหล็กเซียนในมือ
นี่เป็นครั้งแรกที่ลาร์เปิดเผยร่างดั้งเดิมของตัวเองบนดารามังกรดำ ทันทีที่ปรากฏ ก็ทำให้ทุกคนในเมืองเยว่คงล้วนรู้สึกช็อก
“พระเจ้า นั่นคือยักษ์ป่าเถื่อนหรือ?”
“เจ้าจักเข้าใจอะไร นั่นคือยักษ์อัสนี อีกทั้งยังเป็นยักษ์อัสนีที่ยึดกุมเกณฑ์อัสนีตั้งแต่กำเนิดด้วย!”
“……”
เสียงอุทานที่นับไม่ถ้วนดังขึ้น ๆ ลง ๆ แม้แต่รูม่านตาของท่านหมี่ก็หดลงไปด้วย มีรังสีแห่งความแปลกใจทะลุออกมาจากแววตา
ปัจจุบันยักษ์อัสนีเป็นเผ่าพันธุ์ที่แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว มีเพียงในแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดที่มีการสืบสานเก่าแก่มาก ๆ ที่มีข่าวลือบอกว่ายังมียังอัสนีคงอยู่น้อยมากถึงมากที่สุด
อย่างไรก็ตามเหล่ายักษ์อัสนีที่คงอยู่มายาวนาน ส่วนมากล้วนแข็งแกร่งมากจนน่ากลัว ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ไม่เคยมียักษ์อัสนีกำเนิดขึ้นมาใหม่เลย ยักษ์อัสนีตัวหนึ่งที่มีผลการฝึกตนเพียงเทพมารระดับเจ็ด นี่มันมีความหมายว่าอย่างไร?
หากสามารถจับกุมยักษ์อัสนีตัวนี้ แล้วทราบชื่อที่แท้จริงของเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะได้รับผู้ช่วยที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง หากนำเขาไปขายละก็ มันก็เป็นทรัพย์สินที่น่าดูอย่างยิ่งเช่นกัน!
ต้องมีคนใหญ่คนโตจำนวนมากยินดีทุ่มเงินเพื่อซื้อยักษ์อัสนีตัวหนึ่งมาเป็นสัตว์ที่ใช้ขี่ของตัวเองแน่นอน
หลังจากกลายร่างเป็นร่างดั้งเดิมแล้ว ลาร์สามารถปลดปล่อยกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมา ถึงแม้ท่านหมี่จะเรียกของขลังคุ้มกันออกมาหนึ่งชิ้น สุดท้ายก็ถูกลาร์ฟาดจนกระเด็นออกไปอยู่ดี
“ตู้มม!”
เท้าใหญ่ของลาร์ย่ำลงพื้นกะทันหัน หออาโปรมย์ที่พังทลายไปเกือบครึ่งในตอนแรกก็แตกสลายเป็นฝุ่นผงโดยตรง
ถึงแม้ท่านหมี่จะถูกทุบจนกระเด็นออกไปแล้ว ทว่ามีของขลังคอยคุ้มกันร่าง จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก ในระหว่างที่เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ราวกับได้เปิดเส้นทางที่มุ่งไปสู่โลกมหัศจรรย์ยังไงอย่างนั้น ปีศาจแมงมุมลายเขียวที่ไร้ขอบเขตก็พุ่งเบียดเสียดกันออกมา
แม้นจะยึดกุมฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวเหมือนกัน แต่ฝูงปีศาจแมงมุมของท่านหมี่แข็งแกร่งกว่าถังหย่งเมื่อครั้นนั้นมาก ๆ จำนวนก็มีมากกว่าด้วย
“ลาร์ ไป!”
เงาร่างหลัวซิวกระพริบครั้งหนึ่ง แล้วร่วงลงบนไหล่ลาร์ ถัดจากนั้นลาร์ก็เก็บกระบองเหล็กเซียน ก่อนจะกลายเป็นแสงอัสนีสีม่วงหนึ่งดวงภายในพริบตา แล้วหายไปจากเมืองเยว่คงทันที
พลังเกณฑ์อัสนีก็โดดเด่นด้านความเร็วเช่นกัน เพียงไม่กี่พริบตาเท่านั้น เงาร่างของลาร์ก็หายไปจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น
ท่านหมี่ตบกระเป๋าสีดำที่แขวนอยู่บริเวณเอวครั้งหนึ่ง ปีศาจแมงมุมลายเขียวที่ไร้ขอบเขตจึงพุ่งเบียดเสียดกันกลับมา แล้วมุดเข้าไปในกระเป๋าจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ถัดจากนั้นท่านหมี่ก็โบกมือครั้งหนึ่ง เรียกของขลังกระสวยออกมาหนึ่งชิ้น ซึ่งความเร็วก็เร็วปานสายฟ้าเช่นกัน พุ่งไล่ไปยังทิศทางที่ลาร์หายไป
ตั้งแต่ปล่อยให้หลัวซิวหนีรอดไปได้เมื่อครั้งก่อน ท่านหมี่ก็ได้เตรียมของขลังกระสวยเอาไว้หนึ่งชิ้นโดยเฉพาะ นี่คือของขลังประเภทกระสวยระดับอาวุธเทพระดับแปด ซึ่งมีลายค่ายของเกณฑ์ธาตุลมและเกณฑ์ความเร็วสลักจารึกอยู่
“โฮกก!”
เสียงคำรามของมังกรที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังก้องขึ้นมา ถัดจากนั้นก็มีคนจำนวนมากเห็นว่ามีรัศมีเทวสีดำดวงหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้า
“นั่นมันประมุขดารานี่!”
“ประมุขดารามังกรดำ!”
การปรากฏตัวของยักษ์อัสนีทำให้เจ้าแห่งดารามังกรดำก็ตื่นตกใจเช่นกัน คนจำนวนมากต่างกระตือรือร้นอยากทดลอง ทว่ากลับไม่มีศักยภาพที่จะตามไปดู
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของลาร์รวดเร็วมาก ไม่นานนักก็ออกจากดารามังกรดำ แล้วเข้าไปในห้วงดาราอันกว้างใหญ่
หลัวซิวยืนอยู่บนไหล่ลาร์ สัมผัสได้ว่ามีตัวสำนึกสองดวงผนึกอยู่บนร่างกายเขา ซึ่งหนึ่งในตัวสำนึกต้องเป็นของท่านหมี่อยู่แล้ว ส่วนตัวสำนึกอีกหนึ่งดวงนั้นกลับค่อนข้างแปลกหน้า มีออร่าที่ดุดันแข็งกร้าวแฝงซ่อนอยู่ด้วย
“ประมุขดารามังกรดำ แม้แต่เขาก็มาประสมโรงด้วยหรือ?”
มีรอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว เขาได้จัดวางทุกอย่างไว้บริเวณกลุ่มหินอุกกาบาตตั้งนานแล้ว มีประมุขดารามังกรดำเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ใหญ่เช่นกัน
หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่ง ลาร์ก็มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่หลัวซิวชี้แนะ บินเข้าไปในกลุ่มหินอุกกาบาต
ถัดจากนั้น ของขลังกระสวยชิ้นหนึ่งก็มาถึงภายในชั่วลมหายใจเดียว แล้วไล่ตามเข้ามาโดยที่ไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
“หายไปแล้วหรือ?”
ของขลังกระสวยหยุดลง ท่านหมี่ที่ยืนอยู่ด้านบนขมวดคิ้ว เห็น ๆ อยู่ว่าตัวสำนึกของเขาได้ผนึกไปที่ยักษ์อัสนีและชายหนุ่มผู้มีนามว่าหลัวซิวนั่นมาโดยตลอด แต่ว่าหลังจากที่เข้ามาในกลุ่มหินอุกกาบาตแล้ว พลังออร่าของทั้งสองคนก็หายวับไปเลย
ทว่าสิ่งที่ท่านหมี่สามารถยืนยันได้คือ พวกเขาไม่มีทางออกจากกลุ่มหินอุกกาบาตนี้แน่นอน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากว่าพวกเขาอาจจะวางกับดักอะไรไว้ที่นี่ เพื่อที่จะลอบกัดตน
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ก็มีความดูหมิ่นปรากฏบนใบหน้าท่านหมี่ ยักษ์อัสนีเทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่งบวกกับผู้น้อยเทพมารระดับหกคนหนึ่ง ต่อให้จะยึดกุมอุบายที่แข็งแกร่งหน่อย แต่ก็อย่าคิดว่าจะสามารถทำอะไรผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดช่วงกลางอย่างเขาได้
ทันใดนั้นเอง สีหน้าของท่านหมี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หันหน้ามองไปด้านหลัง ก่อนจะพบว่ามีเงาร่างที่สูงใหญ่กำยำยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลจากด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ท่านหมี่ ดารามังกรดำคืออาณานิคมของข้า เจ้ายื่นมือเข้ามามากเกินไปหรือเปล่า”
ชายร่างใหญ่นั่นอยู่ในชุดเกราะเทวที่ดำขลับจนมันวาว บนศีรษะมีเขามังกรที่เฉียบคมมหัศจรรย์ มีชี่ฉกรรจ์ที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นแผ่กระจายออกมาจากดวงตาสีทองคู่นั้น
ซึ่งคนดังกล่าวก็คือเจ้าแห่งดารามังกรดำ ประมุขดารามังกรดำ และมีคนเรียกเขาว่าราชามารมังกรดำเช่นกัน!
มังกรดำเจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”ท่านหมี่ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ถึงแม้ศักยภาพของราชามารมังกรดำจะแข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย ทว่าเขามีสำนักสรรพอสูรเป็นภูมิหลัง จึงไม่ถึงขั้นต้องเกรงกลัวมังกรดำตัวนี้
“ความหมายของข้านั้นง่ายมาก ในเมื่อยักษ์อัสนีปรากฏบนดารามังกรดำของข้า เช่นนั้นมันก็เป็นของมังกรดำข้า!”
ความหมายของประมุขดารามังกรดำชัดเจนมาก ๆ แล้ว เขามาเพื่อยักษ์อัสนี
มังกรดำ เจ้าโลภมากเกินไปหรือเปล่า? หากนำยักษ์อัสนีตัวหนึ่งไปประมูล อย่างน้อยก็สามารถขายได้ในราคาที่สูงลิ่ว อีกทั้งยังเป็นโอสถแก่นแท้ระดับเก้า! ตลอดจนเป็นกรองแก้วม่วงดั้งเดิมด้วย!”
“ข้าโลภมากเกินไป? แล้วสำนักสรรพอสูรของพวกเจ้าไม่มีความโลภอย่างนั้นหรือ? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ บนตัวชายหนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นก็มีสมบัติที่ยอดเยี่ยมหลายชิ้นเช่นกัน สมบัติที่อยู่บนตัวมันเป็นของเจ้า ยักษ์อัสนีเป็นของข้า!”ประมุขดารามังกรดำพูดอย่างเด็ดเดี่ยว และยิ่งมีจิตสังหารอ่อน ๆ แผ่กระจายออกมาจากตัวด้วย
“เจ้า……”
ท่านหมี่แค่รู้สึกว่าตนกำลังอัดอั้นความแค้นอยู่เต็มอก แต่เขาก็ทราบเช่นกันว่าจักพูดจากับมังกรดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนี้ด้วยเหตุผลไม่ได้ ศักยภาพของเขาก็สู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ไหวอีก ต้องเลือกระหว่างถอยบัดนี้ ไม่ก็ทำได้เพียงยอมประนีประนอม
“ดี! ในเมื่อเจ้าต้องการ เช่นนั้นยกให้เจ้าแล้วจะเป็นกระไรไป กลัวแค่เจ้าจักไม่มีปัญญาได้ครอบครอง!”
ท่านหมี่หัวเราะอย่างเยือกเย็น ทันทีที่ข่าวคราวของยักษ์อัสนีแพร่งพรายออกไป เฒ่าประหลาดเทพมารระดับเก้าจำนวนมากก็จะเร่งเดินทางมาตามข่าว แล้วมังกรดำที่เป็นเพียงเทพมารระดับแปดเล็ก ๆ จักได้ครอบครองหรือ?
อย่างไรก็ตามในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนมา แล้วดันเข้าไปในหูท่านหมี่และประมุขดารามังกรดำ
“นี่ทั้งสองท่าน พวกเจ้าปรึกษาหารือเสร็จหรือยัง? หากปรึกษาหารือเสร็จแล้วละก็ พวกเจ้าทั้งสองก็ไปลงนรกพร้อมกันได้ละ”
เสียงดังกล่าวราวกับดังมาจากทั่วทุกสารทิศ ไม่สามารถผนึกตำแหน่งของเจ้าของเสียงดังกล่าวได้เลยด้วยซ้ำ
และภายในเสี้ยววินาทีที่เสียงดังกล่าวสิ้นสุดลง ก็มีหมอกพรั่งพรูออกมาจากปริภูมิบริเวณรอบ ๆ ทำการปกคลุมปริภูมิที่ท่านหมี่และประมุขดารามังกรดำคงอยู่เอาไว้โดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกัน ก็มีแสงค่ายทั้งหลายผสมผสานกัน จนกลายเป็นลายเส้นที่นับไม่ถ้วนหลอมรวมเข้าไปในอนัตตา จิตสังหารจึงแปรปรวนภายในพริบตา!
“ค่ายกล?”
มีรอยยิ้มที่เยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าท่านหมี่ “เจ้าคิดว่าแค่ค่ายกลกระจอก ๆ นี่ สามารถจัดการข้าได้หรือ?”ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ท่านหมี่ก็ใช้มือตบกระเป๋าสีดำที่อยู่บริเวณเอว ปีศาจแมงมุมลายเขียวที่ไร้ขอบเขตจึงถูกเขาปลดปล่อยออกมา
“เวิ่ง!”
แสงค่ายที่นับไม่ถ้วนกระพริบระยิบระยับ จิตสังหารที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้พรั่งพรูปะทุ ภายในเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น ฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวที่ท่านหมี่เพิ่งปล่อยออกมาก็ตายไปเกือบครึ่ง
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ในที่สุดสีหน้าของท่านหมี่ก็เปลี่ยนแปลงไป ถึงแม้ฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวของเขาจะไม่ใช่ราชันย์อสูรเทพระดับแปด แต่ก็มีอสูรยักษ์เทพระดับเจ็ดเยอะมาก ๆ นี่คือค่ายกลอะไรกันแน่ ถึงขั้นมีพลานุภาพที่ทรงพลังเช่นนี้เลยหรือ ทำให้แม้แต่ฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวยังไม่ทันได้ต่อต้านก็ตายไปภายในพริบตาเลย?
“ค่ายเทพระดับแปด?”
ณ บัดนี้วินาทีนี้ หากท่านหมี่ไม่เข้าใจอีกละก็ เช่นนั้นสมองของเขาก็มีปัญหาแล้วล่ะ แม้นเขาจะไม่เข้าใจเรื่องค่ายกล แต่ก็ทราบเช่นกันว่าค่ายกลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นค่ายเทพระดับแปด
ซึ่งค่ายกลระดับนี้เพียงพอที่จะสร้างภัยคุกคามแก่เขาแล้ว