มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 27 ทำร้ายจางห่าย
บทที่ 27 ทำร้ายจางห่าย
“การกลั่นร่างขั้น9?” ผู้อาวุโสผู้คุมสอบลุกพรวดขึ้นมาทันที มองด้วยความตกตะลึง หลังจากนั้นก็กลับมานิ่งสงบ “ไม่ใช่การกลั่นร่างขั้น9 แต่เป็นการกลั่นร่างขั้น7!”
เห็นสีหน้าตกตะลึงของผู้อาวุโสผู้คุมสอบ คนที่อยู่ล่างเวทีประลองยุทธ์ต่างนิ่งงัน สายตาของทุกคนตกตะลึง
เห็นผู้อาวุโสผู้คุมสอบมองไปที่หลัวซิว แววตาเคล้าไปด้วยความตกตะลึง “เป็นปราณในที่บริสุทธิ์มาก การกลั่นร่างขั้น7แทบจะทัดเทียมกับการกลั่นร่างขั้น9 แม้แต่ฉันก็เกือบมองผิด”
ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ด้านล่าง สีหน้าของจางห่าย หลูเฟิงและพวกน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า ตกตะลึงจนคางเกือบตกลงพื้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่มันของปลอมรึเปล่า? สามเดือนก่อนตอนประลองกับฉันผลการฝึกตนยังต่ำกว่า แต่มันกลับบรรลุการกลั่นร่างขั้น7แล้วเนี่ยนะ? อีกทั้งปราณในยังบริสุทธิ์ เทียบกับการกลั่นร่างขั้น9ได้เลย?”
คำวิจารณ์นี้ไม่ได้สูงเกินจริง สิ่งนี้หมายความว่าหลัวซิวแทบจะมีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น9แล้ว!
หลังจากความเงียบจบลง ทั้งเวทีประลองยุทธ์เสียงดังกระหึ่ม คนจำนวนไม่น้อยสูดลมหายใจเข้า และยังมีคนกลืนน้ำลาย โดยเฉพาะคนที่รู้จักหลัวซิวต่างตกตะลึงอย่างมาก เวลาสามเดือนจากการกลั่นร่างขั้น2สู่การกลั่นร่างขั้น7 ความเร็วในการฝึกตนนี้ ช่างน่าตกใจเกินไปแล้วกระมัง?
สามเดือนเพิ่มขึ้นห้าแดนเล็ก ตั้งแต่เมืองชิงหยุนก่อตั้งสำนักยุทธ์มาแปดร้อยกว่าปี ไม่เคยพบเจอมาก่อน!
หลิวหยู่ซินก็อยู่ในฝูงชน เวลานี้แววตาแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน หวนคิดกลับไปตอนที่อยู่หอเก็บหนังสือ ตนแนะนำให้เขาไปเป็นองครักษ์ของตระกูลหลิว ไม่แปลกที่หลัวซิวไม่ยี่หระ
มีความเร็วในการฝึกตนที่ทำให้คนได้ยินตกตะลึงแบบนี้ ใครจะยอมลดตัวไปเป็นบริวารล่ะ?
“หึ การกลั่นร่างขั้น7แล้วไง? ยังไงวันนี้ฉันก็จะทำให้มันพิการ!” แววตาของจางห่ายมีความเหี้ยมโหดเลื่อนผ่าน ถึงแม้ผู้อาวุโสที่คุมสอบจะบอกว่าปราณในของหลัวซิวทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9 แต่เขายังคงมั่นใจในตนเองมาก
หลัวซิวยืนอยู่บนเวที รู้สึกเศร้าเล็กน้อย คิดถึงตอนแรกเขาเป็นแค่คนธรรมดา เป็นคนจนที่คนอื่นดูถูก
ไม่เคยคาดคิดว่า วันหนึ่งท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย ตนจะผงาดขึ้นมาแบบนี้?
ท่ามกลางความอิจฉา หรือสายตาซับซ้อนที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย หลัวซิวเดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์
การสอบดำเนินต่อไป หลังจากหลัวซิวสอบเสร็จ ก็มีคนขึ้นไปบนเวทีอีก อัตราส่วนจำนวนคนที่ถูกคัดทิ้งช่างน่าตกตะลึง
นักเรียนชั้นต้นที่ผ่านการสอบ นับหลัวซิวด้วย มีทั้งหมดแค่ห้าคน
ส่วนการสอบของนักเรียนชั้นกลางเลื่อนชั้นสูง อัตราส่วนที่ถูกคัดทิ้งสูงยิ่งกว่า ผ่านแค่คนเดียวเท่านั้น
เพราะยิ่งอยู่ การเลื่อนผลการฝึกตนให้สูงขึ้นก็ยิ่งยาก
“การสอบประจำปีในปีนี้จบลงแล้ว!” ผู้อาวุโสที่คุมสอบประกาศเสียงดัง หลังจากนั้นก็ออกไปจากลานฝึกยุทธ์
ทว่ากลุ่มคนที่อยู่รอบๆ กลับไม่ได้แยกย้ายกันไป เพราะว่าแทบจะทุกคนต่างรู้ว่า หลังจากจบการสอบประจำปีในครั้งนี้ ยังมีการประลองยุทธ์!
“หลัวซิว!”
เสียงเยือกเย็นดังก้อง เห็นเพียงร่างหนึ่งกระโดดออกมา ย่อตัวลงบนเวทีประลองยุทธ์ เอามือไว้ด้านหลัง ยืนด้วยความทระนง
คนคนนี้ คือจางห่าย!
“เมื่อคราวก่อนมีอาจารย์ลู่ออกหน้ารับ วันนี้ทั้งฉันและนายต่างเป็นนักเรียนชั้นกลาง กล้าสู้กันสักตั้งไหม?”
หลังจากคำพูดนี้เปล่งออกมา สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หลัวซิวอีกครั้ง
“แฮะๆ หลัวซิวเป็นแค่คนจนจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป ทำตัวโดดเด่นแบบนี้ ดูสิว่าครั้งนี้มันจะทำยังไง”
“สามเดือนเพิ่มขึ้นห้าแดน แต่ว่าผลการฝึกตนสูง ไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งจะสูงไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจางห่ายบรรลุถึงการกลั่นร่างขั้น8 สูงกว่าเขา!”
“ใช่ ใช่ ฉันเองก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเพิ่มขึ้นได้เร็วแบบนี้ ได้ยินว่ามีวิธีการบางอย่างสามารถเพิ่มผลการฝึกตนให้สูงในระยะเวลาสั้นๆ แต่ว่าส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังส่งผลกระทบต่อแดนยุทธ์ในวันข้างหน้า”
คนมากมายต่างพูดคุยกัน ถึงแม้การสอบประจำปีของหลัวซิวจะทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่ก็ยังไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของจางห่าย
ท่ามกลางสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอิจฉา ริษยา รวมถึงแววตามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หลัวซิวเดินขึ้นไปยังเวทีประลองยุทธ์
ที่อิจฉาริษยา แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาบรรลุแดนทั้งห้าในระยะเวลาสั้นๆแค่สามเดือนทำให้ผู้อาวุโสที่คุมสอบให้การประเมินสูง ส่วนคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเป็นเพราะไอ้คนจนที่ทำตัวโดดเด่น กำลังจะโดนจางห่ายที่บรรลุการกลั่นร่างขั้น8สั่งสอน
เห็นหลัวซิวเดินขึ้นเวทีประลองยุทธ์ แววตาของจางห่ายฉายความเยือกเย็น
ที่ผ่านมาเขาเป็นอัจฉริยะมาโดยตลอด อายุสิบห้าบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 ถูกชื่นชมว่าจะกลายเป็นจอมยุทธ์ก่อนอายุสิบแปด
“หลัวซิว อย่าคิดว่าบรรลุการกลั่นร่างขั้น7ก็จะมีสิทธิ์มาเทียบชั้นกับฉัน ฉันจะทำให้แกรู้ว่าระหว่างพวกเราห่างกันเท่าไหร่!” จางห่ายพูดเสียงเยือกเย็น
“ตอนนี้ต่อให้แกคุกเข่าขอร้องฉัน ฉันก็ไม่มีวันปล่อยแกไป ชีวิตนี้แกถูกลิขิตให้ใช้ชีวิตได้แค่บนเตียงแล้ว”
มุมปากของจางห่ายแสยะยิ้มร้ายกาจ เขาจะทำลายเส้นลมปราณทั้งหมดบนตัวหลัวซิว ให้เขากลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้!
“นายจะทำให้ฉันพิการเนี่ยนะ?” แววตาของหลัวซิวเย็นยะเยือก ทั้งสองไม่ได้มีความแค้นอะไรกันมากมาย เป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างวัยรุ่นเท่านั้น แต่จางห่ายกลับจะทำให้ตนพิการเนี่ยนะ?
“ฉันจะทำให้แกพิการ ชนชั้นต่ำอย่างแก ขอแค่ฉันไม่ฆ่าแก สำนักยุทธ์ก็ไม่มีวันลงโทษฉันแล้ว” จางห่ายหัวเราะเย้ยหยัน แววตาฉายความเหี้ยมโหด ก้าวเดินออกมา ทะยานขึ้นฟ้า พุ่งไปหาหลัวซิว
เห็นเพียงร่างกายของหลัวซิวเคลื่อนไปทางซ้ายเบาๆ การโจมตีของจางห่ายก็สูญเปล่า
จางห่ายเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว โจมตีอย่างหนัก กระบวนท่าหนึ่งจู่โจมเหี้ยมโหดยิ่งกว่าอีกกระบวนท่าหนึ่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบหลัวซิวล้วนเอามือไว้ด้านหลัง ปล่อยให้เขาโจมตี ไม่ว่าจะโจมตีร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถแตะต้องชายเสื้อของตนได้
ชั่วขณะหนึ่ง เวทีประลองยุทธ์ฝุ่นตลบ
“วิชาท่าร่างของหลัวซิวยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้วเหรอ? หรือว่าจะบรรลุแดนสำเร็จน้อยแล้ว?”
“ด้วยความแข็งแกร่งของจางห่ายยังไม่สามารถแตะต้องแม้แต่ชายเสื้อได้ ฉันว่าวิชาท่าร่างของหลัวซิวน่าจะใกล้เคียงกับแดนบรรลุผลแล้ว”
“คิดไม่ถึงจริงๆ หลัวซิวจะเก่งขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเอาชนะจางห่ายได้จริงๆ ก็ได้”
“ตลก ก็แค่หลบเก่งเท่านั้น ถ้าปะทะกันจริงๆ หลัวซิวต้องถูกทำร้ายจนตัวปลิวออกไปแน่นอน!”
มีคนมากมายมารวมตัวกันโดยรอบเวทีประลองยุทธ์ คำพูดของทุกคนดังไปถึงหูของจางห่ายที่อยู่บนเวที ทำให้เขาอับอายอย่างมาก
“ไอ้สารเลว! แกหลบเป็นอย่างเดียวรึไง? ชนชั้นต่ำขี้ขลาด!” จางห่ายร้องตะคอกเสียงดัง ยกเท้าขึ้น แตะศีรษะของหลัวซิว
“ตึก!”
ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้หลย แต่ว่ายกมือขึ้นรับกระบวนท่านี้
เห็นภาพนี้ จางห่ายดีใจมาก จากนั้นเปลี่ยนกระบวนท่าพร้อมกับร้องตะโกน “หมัดสยบเขา!”
“วิชากระจอกๆ”
สีหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความดูถูก ออร่ารอบตัวของเขาแปรเปลี่ยนกะทันหัน ต่อยออกมาหนึ่งหมัด
“แย่แล้ว!”
จางห่ายตกใจอย่างมาก สัมผัสได้เพียงความรู้สึกเหี้ยมโหดจากหลัวซิวกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหา ทำให้รู้สึกหดหู่อย่างมาก
“ท่ามังกรทะยาน!”
“ตึก!”
พลังรุนแรงพุ่งทะยานมา จางห่ายรู้สึกเจ็บฝ่ามือ ร่างกายปลิวออกไป
“แอวะ!”
ตัวลอยอยู่บนอากาศ จางห่ายกระอักเลือด ล้มลงห่างออกไปห้าถึงหกเมตร ฝุ่นตลบ ภาพตรงหน้ามีดาวฉายขึ้นมา
“การกลั่นร่างขั้น8 ก็แค่นี้” บนเวทีประลองยุทธ์ หลัวซิวหัวเราะเยือกเย็นด้วยความเย้ยหยัน
“เป็นไปไม่ได้!” จางห่ายเหยียดตัวลุกขึ้นตัวเซไปมา เลือดเต็มไรฟัน ใบหน้าเหี้ยมโหด “ฉันแพ้ให้ชนชั้นต่ำอย่างแกได้ยังไง?”
“ไปตายซะ!” จางห่ายร้องตะโกนด้วยความโมโห ก้าวออกไป ฝ่ามือทั้งสองฟาดไปทางหลัวซิวด้วยความเหี้ยมโหด
เขาไม่สามารถทนเห็นตนที่เป็นอัจฉริยะแพ้ให้กับคนชนชั้นต่ำ!
“ไม่รู้จักประมาณตน” หลัวซิวไม่ได้หลบ ยื่นมือออกไปคว้าจับข้อมือของจ่างห่าย
ไม่ว่าจางห่ายจะเคลื่อนปราณในอย่างไร อยากจะหลุดพ้นพันธนาการของหลัวซิว แต่ว่าปราณในของเขากลับหลอมละลายไปหมด เหมือนถูกครีมเหล็กพันธนาการข้อมือ เจ็บปวดทรมาน
“เป็นไปได้ยังไง? หรือว่าปราณในของเขาสามารถทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9ได้จริงๆ?” เกิดคลื่นลูกใหญ่ภายในใจของจางห่าย รู้สึกว่าปราณในพลุ่งพล่านเข้าไปในเส้นลมปราณของตน
“กรึก!”
เสียงกระดูกแหลกละเอียดดังขึ้น จางห่ายยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญ เขาก็ถูกหลัวซิวเตะหน้าอก
“ตุ้บ!”
ร่างของจางห่ายปลิวไปไกลห้าถึงหกเมตร ล้มลงบนพื้น ฝุ่นตลบ
“ฉันกับนายไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่นายกลับบอกว่าจะทำให้ฉันพิการ ให้ฉันใช้ชีวิตได้แค่บนเตียงตลอดชีวิต คิดไม่ถึงว่ายอดฝีมือการกลั่นร่างขั้น8อย่างนายจะแพ้ให้กับฉันใช่ไหม?”
มองจางห่ายที่ล้มลมบนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด แววตาของหลัวซิวฉายลำแสงเย็นยะเยือก
“แก……แกจะทำอะไร?” จางห่ายสัมผัสได้ถึงออร่าความอันตรายจากหลัวซิว ตกใจจนกระวนกระวายขึ้นมาทันที
########################