มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2721 พลังฉีกชั้นฟ้า
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2721 พลังฉีกชั้นฟ้า
จากผลการฝึกตนในปัจจุบันของหลัวซิว การฉีกทำลายพื้นโลกปริภูมิเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากแล้ว
เมื่อกลับมาถึงห้วงดาราของมหาโลกาพันสาม หลัวซิวก็สามารถสัมผัสออร่าเกณฑ์ฟ้าดินที่ขาดตกบกพร่องของที่นี่ได้อย่างชัดเจนเลย การฝึกตนถึงเทพมารระดับหกในสถานที่เช่นนี้ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว อย่าคิดว่าจะสามารถตระหนักรู้ในเกณฑ์ แล้วบรรลุสู่แดนเทพมารระดับเจ็ดได้
สำหรับหลัวซิว มหาโลกาพันสามในปัจจุบันไม่มีสิ่งใดที่น่าอาลัยอาวรณ์แล้ว เขาพาลาร์มาถึงดาราจี้โดยตรง
ถึงแม้หลังจากเผ่าจี้อพยพออกไปแล้ว หอยอดอัมพรก็กลับมาเจริญรุ่งเรืองใหม่อีกครั้ง ทว่าเนื่องจากเกรงกลัวเผ่าจี้ หอยอดอัมพรจึงไม่ได้เปลี่ยนชื่อของดาราดวงนี้ให้กลับไปเป็นเหมือนเก่า
การกลับมาในครั้งนี้ หลัวซิวก็ไม่มีความคิดที่จะไปหาเรื่องผู้อื่น เขาและลาร์มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเทือกเขาลั่วหยุน
จากผลการฝึกตนแดนเทพมารระดับหกขั้นสูง อาศัยการวิวัฒนาการและอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ ควบคู่กับวิชาวิถีค่ายที่เขายึดกุม หากเป็นมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาลที่อยู่ในสภาวะขั้นสูงสุด หลัวซิวต้องไม่มีทางทลายมันได้อยู่แล้ว
แต่มหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาลนี้คงอยู่มายาวนานอย่างไม่รู้จบแล้ว ทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า ไม่มีสิ่งใดที่สามารถต้านทานการชะล้างจากกาลเวลาได้ แม้นพลานุภาพของค่ายกลนี้จักยังทรงพลังอยู่เช่นเคย แต่ก็มีโอกาสที่จะทลายมันได้เช่นกัน
“สิงเทียน สวรรค์ทั้ง 12 แห่งยุคไท่ชู ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสอง!”
ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน หลัวซิวก็จัดวางธงค่ายไปร้อยกว่าผืน ในที่สุดถึงจะทลายค่ายกลของสถานที่แห่งนี้ได้ มหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาลไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว ลาร์ก็ถือว่าได้รับอิสรภาพโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
ศิลาเทวชิงเทียนถูกหลัวซิวเก็บกลับเข้าไปใหม่ ส่วนพลังแห่งสิงเทียนที่คงอยู่ในมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาลในตอนแรกก็ถูกหลัวซิวเก็บเข้าไปในเตากลั่นนภาจื่อเซียว
พลังแห่งสิงเทียน ควบคุมเทวทัณฑ์เทียนเต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังแห่งสวรรค์ทั้ง 12 ประเภทที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังโจมตีเป็นหนึ่ง!
ตำนานเล่ากันว่ามีเพียงพลังแห่งชิงเทียนที่ไม่ดับสูญ ถึงจะสามารถต้านทานพลังโจมตีจากพลังแห่งสิงเทียนได้
และโชคดีเหมือนกันที่ระดับขั้นของพลังแห่งสิงเทียนนี่ไม่สูง ซึ่งมีบ่อเกิดมาจากมือของเทพมารระดับแปดคนหนึ่ง หลัวซิวใช้เตากลั่นนภาจื่อเซียวทำการผนึกมันเอาไว้ แล้วใช้วิถีไร้ลักษณ์อนุมานความลี้ลับที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน
จากการที่แดนผลการฝึกตนเพิ่มขึ้น การปรับปรุงและตระหนักรู้ในวิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิวก็ยิ่งอยู่ยิ่งดีเลิศขึ้น จากแดนปัจจุบันของเขา สามารถปลดปล่อยพลังแห่งเกณฑ์ระดับเทพมารระดับเจ็ดออกมาได้อย่างง่ายดายเลย
ทว่าเขากลับยังไม่พอใจต่อสภาพการณ์ในปัจจุบัน ท้ายที่สุดแล้วเกณฑ์ทั่วไปในจักรวาลฟ้าดินก็มีขีดจำกัดอยู่ดี หากสามารถวิวัฒนาการพลังแห่งสวรรค์ที่อยู่เหนือเกณฑ์ทั่วไปออกมาผ่านวิถีไร้ลักษณ์ เช่นนั้นวิถีไร้ลักษณ์ของเขาถึงจะถือว่าบรรลุผลอย่างแท้จริง
โลงศพเทวฌาปนนภาสวรรค์บนแท่นบูชาเทพมารหายไปแล้ว เมื่อหลัวซิวมาถึงหุบเขาทุคติ วังเทียนหมิงก็หายไปแล้วเหมือนกัน เมื่อนึกถึงพลังแห่งปรโลกที่ถูโยวหมิงยึดกุม หลัวซิวจึงกำหนดคิ้วลงไปอย่างควบคุมไม่ได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภพชาตินี้มีเยอะเกินไป แต่ก็ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีกเยอะมาก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขา ณ วินาทีนี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้
ลาร์เดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิวอย่างเงียบ ๆ ถึงแม้จะเอาศิลาเทวชิงเทียนออกมาจากเทือกเขาลั่วหยุนแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้รีบย้อนกลับไปยังโลกร้างเช่นกัน แต่เป็นการเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปดาราเมฆาทมิฬอีกครั้ง
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หลัวซิวรู้สึกมาโดยตลอดเลยว่าดาราเมฆาทมิฬไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป เขาผีเก้าและนิรยะเพชฌฆาตของที่นี่เปี่ยมล้นไปด้วยความลึกลับ มาตรแม้นว่าผู้ที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับหกในมหาโลกาพันสาม ก็ไม่สามารถเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของทั้งสองสถานที่แห่งนี้ได้
ปัจจุบันผลการฝึกตนของตัวเขาเองบรรลุถึงเทพมารระดับหกขั้นสูงแล้ว ศักยภาพที่แท้จริงเทียบทัดเทพมารระดับแปด ในเมื่อกลับมาแล้ว จึงย่อมต้องไปทั้งสองสถานที่นั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไปดูซิว่าตกลงมีอะไรซ่อนอยู่ภายในกันแน่
โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีคนเดินทางไปเขาผีเก้าน้อยมาก ๆ เนื่องจากที่นี่มืดทึบน่ากลัวไม่ว่า ปกติยังมีระลอกคลื่นที่ดูดกลืนตัวสำนึกวิญญาณปรากฏเป็นระยะอีกด้วย หากไม่ทันได้ระวัง ก็อาจจะมีโอกาสดับสลายสูญสิ้น ตายอยู่ที่นี่ได้
หากลึกเข้าไปอีกละก็ ในเขาผีเก้ายังมีรัศมีดำปรากฏอีกด้วย และพลังโจมตีของรัศมีดำเหล่านั้นก็แข็งแกร่งมากด้วย สามารถฉีกกระชากเกราะป้องกันร่างเนื้อของจอมยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อปีนั้นเขาก็ได้รับไผ่เทวดวงครามหนึ่งต้นจากที่นี่นี่แหละ ซึ่งเป็นสมบัติที่จอมยุทธ์กลั่นร่างต่างใฝ่ฝัน
หลัวซิวให้ลาร์รออยู่ด้านนอก เนื่องจากเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามีภยันตรายแบบใดซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเขาผีเก้า อย่างไรเสียศักยภาพของลาร์ก็เป็นเพียงเทพมารระดับเจ็ด
ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงส่วนลึกของเขาผีเก้า ต้นยาเซียนที่เป็นทำนองเดียวกันกับสมุนไพรมังกรสามสีที่พบเห็นระหว่างทาง เขาก็รวดเก็บเกี่ยวมาเช่นกัน ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขาแล้ว แต่ต้นยาเซียนประเภทนี้เป็นสิ่งที่สามารถนำมากลั่นเป็นยาเซียนกลั่นร่าง มาตรแม้นว่าอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด มันก็เป็นของดีที่อุปสงค์มากกว่าอุปทานเช่นกัน
รัศมีดำที่สามารถฉีกกระชากเทพมารระดับหกให้แหลกเป็นชิ้น ๆ พุ่งตัดสลับไปมา ส่วนหลัวซิวกลับไม่ได้ใช้ของขลังคุ้มกันใด ๆ แม้แต่ชิ้นเดียว แค่อาศัยร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่เกะกะระราน ฝ่าฟันเข้ามาโดยตรง
หลังจากเข้ามาถึงจุดที่ลึกเข้ามาสิบไมล์อีกครั้ง รัศมีดำที่ตัดสลับไปมาก็ทรงพลังมากยิ่งขึ้น เริ่มมีออร่าพลังเต๋าของพลังแห่งเกณฑ์แฝงซ่อนอยู่เล็กน้อย ราวกับออร่าประเภทนี้สามารถฉีกกระชากทุกสิ่งอย่าง บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง!
“เตี๊ยง! เตี๊ยง! เตี๊ยง! ……”
รัศมีดำทั้งหลายพุ่งชนเข้ากับร่างกายเขา ถึงแม้ก็ยังไม่สามารถทลายเกราะป้องกันร่างเนื้อของหลัวซิวได้อีกเช่นเคย แต่กลับทำให้ปราณเลือดในร่างกายเขาสั่นสะเทือน ทุกการโจมตีของรัศมีดำทุกดวง ล้วนสามารถเทียบทัดพลังที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของอาวุธเทพระดับเจ็ดหนึ่งชิ้น
หลัวซิวหรี่ตาลง เนื่องจากถึงแม้จะมาถึงจุดนี้แล้ว ตรงหน้าก็ยังคงมีเส้นทางให้เดินไปอีกไกลมาก ๆ
เขาไม่ได้ลังเลใจ แต่เป็นการมุ่งหน้าเดินต่อไป หลังจากทะลุผ่านเขตพื้นที่นี้อีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่รัศมีสีดำแล้ว แต่เป็นรัศมีสีทองมืด
รัศมีสีทองมืดเหล่านี้ไม่ใช่รัศมีเทวธรรมดา ๆ อีกต่อไปแล้ว แต่มันสามารถแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธต่าง ๆ บ้างก็ประกอบเป็นลักษณะรูปร่างดาบกระบี่ บ้างก็ประกอบเป็นหอกยาว หอกยุทธ์สีทองมืด ซึ่งแปลกพิสดารมาก
“ตู้มม!”
ภายในเสี้ยววินาทีที่หลัวซิวปรากฏที่นี่ อาวุธที่มีรัศมีสีทองมืดเป็นประกายระยิบระยับก็พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามา
ณ เสี้ยววินาทีนั้น หลัวซิวถึงขั้นสัมผัสภัยคุกคามจากความตายได้เสี้ยวหนึ่ง ซึ่งนี่ก็หมายความว่าพลังโจมตีทั้งหมดที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วย ทุกพลังโจมตีล้วนเท่ากับพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดแล้ว!
“เวิ่งง!”
ร่างกายเขาสั่นเทิ้ม ก่อนจะมีรัศมีเทวที่ใสดุจผลึกแย้มบานออกมา ยันต์ค่ายทั้ง 99 ที่อยู่บนตัวสว่างไสว พลังของร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็ถูกเขากระตุ้นจนถึงขีดสูงสุดเช่นกัน
“เตี๊ยงง!”
อาวุธสีทองมืดที่นับไม่ถ้วนถูกหนึ่งหมัดของเขาโจมตีจนแตกสลาย ร่างเนื้อของเขาได้กลั่นแปรและหลอมรวมกับพละกำลังของเหล็กเศษณ์ทองเซียนไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็คือศัสตราวุธ ซึ่งเป็นของขลังที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรอง!
แม้นหมัดนี้จะทลายพลังโจมตีไปได้ไม่น้อย แต่สภาพกำปั้นของหลัวซิวก็อนาถเช่นกัน เผยให้เห็นกระดูกสีขาว
ทว่าความรู้สึกบนใบหน้าหลัวซิวกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย เขาโคจรวิถีไร้ลักษณ์แล้ววิวัฒนาการพลังชีวีนิรันกาลออกมา สภาพอาการบาดเจ็บบนกำปั้นจึงฟื้นฟูกลับคืนมาด้วยระดับความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยเนื้อตาเปล่า
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
เขาก้าวเดินไปข้างหน้า ต้านทานพลังโจมตีทั้งหมดด้วยกำปั้นทั้งสองข้าง ระหว่างทางมีเลือดสดสาดกระเด็นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ฝีเท้าของเขากลับไม่เคยถดถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว
“ฉึกฉึกฉึก……”
กระบี่เทพสีทองมืดสามเล่มเฉือนสับเข้ามา ในกระบี่เทพทุกเล่มล้วนมีออร่าพลังเต๋าที่สามารถฉีกกระชากบดขยี้ทุกสรรพสิ่งแฝงซ่อนอยู่ ทำให้ผู้คนไม่อาจต้านทานได้
ณ บัดนี้วินาทีนี้ หลัวซิวได้มาถึงส่วนลึกของเขาผีเก้าแล้ว กระบี่เทพสีทองมืดสามเล่มนี้เหมือนดั่งอาวุธที่คงอยู่อย่างแท้จริง หากเป็นเทพมารระดับแปดทั่วไป คงถูกสังหารคาที่แล้ว
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับสุขุมไม่หวาดหวั่น เขาตะโกนลั่นครั้งหนึ่ง ใช้ร่างเนื้อต้านทานพลานุภาพของกระบี่เทพทั้งสามเล่ม มีรัศมีเทวสีทองแย้มบานออกมาจากมือทั้งสองข้างของเขา หลังจากผ่านการตระหนักรู้มานานหลายปี ปัจจุบันเขาสามารถอาศัยวิถีไร้ลักษณ์เพียงอย่างเดียว เพื่อวิวัฒนาการความล้ำลึกของพลังแห่งชิงเทียนออกมาได้เล็กน้อยแล้ว
แม้นจักเป็นเช่นนี้ ทว่าพลานุภาพของกระบี่เทพทั้งสามเล่มนี้ก็ยังคงทรงพลังอยู่เช่นเคย ทำการเฉือนสับร่างกายของหลัวซิวจนเลือดเนื้อสาดกระเด็น ปราณกระบี่ตัดสลับกันไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง หลัวซิวไม่เพียงไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขากลับยิ่งสู้ยิ่งฮึกเหิม เนื่องจากวิชาหนังสือยุทธภัณฑ์ที่เขาอนุมานโดยวิถีไร้ลักษณ์ ไม่เพียงสามารถวิวัฒนาการวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ออกมาเท่านั้น มันยังมีวิชาก่อเกิดกายอีกหนึ่งวิชา!
ก่อเกิดกายที่กล่าวถึงนั้น ก็เหมือนดังการชุบของขลังอาวุธ อาศัยการกระตุ้นจากพลังภายนอก ทำให้ร่างเนื้อผ่านการฝึกฝนและทดสอบอย่างโชกโชน ชุบจนยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่ง!
จากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป สภาพการณ์ของหลัวซิวก็ไม่ได้ดูจนตรอกอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากศักยภาพของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างเนื้อก็ยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่ง ถึงแม้จะยังได้รับบาดเจ็บอยู่เช่นเคย ทว่าเห็นได้ชัดเจนเลยว่าสภาพอาการบาดเจ็บดูเบากว่าเดิมเยอะมาก
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างเนื้อของข้าจักสามารถทลายพันธนาการ บรรลุถึงแดนร่างเทวระดับแปดในรวดเดียวเลยได้หรือไม่?”
หลัวซิวหรี่ตาลง ร่างเทวระดับเจ็ดและร่างเทวระดับแปดดูเหมือนจะห่างกันเพียงเสี้ยวเดียว แต่แท้จริงแล้วช่วงระยะความต่างนั้นห่างกันไกลมาก หากสามารถทลายพันธนาการ ศักยภาพของเขาก็จะพุ่งพรวดอีกครั้งอย่างแน่นอน
จากการที่เขาลึกเข้าไปในเขาผีเก้าอย่างต่อเนื่อง พลังโจมตีที่เขาประสบพบเจอก็ยิ่งอยู่ทรงพลังขึ้นด้วย จากเทพมารระดับแปดทั่วไป ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาถึงเทพมารระดับแปดช่วงปลายตลอดจนขั้นสูง
ทุกศัสตราวุธสีทองมืดของที่นี่ที่โจมตีเข้ามาสังหารเขา ล้วนเทียบเท่าพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดช่วงปลายคนหนึ่ง!
หลัวซิวไม่ได้เรียกเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมาคุ้มกันร่างแต่อย่างใด เนื่องจากเขาจะใช้แรงกดดันที่มากล้นมาบีบให้ตัวเองทลายพันธนาการ
พลังการโจมตีถูกหลัวซิวต้านทานเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า จากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป จู่ ๆ ก็มีรัศมีเทวที่ละลานตาแย้มบานออกมาจากดวงตาของหลัวซิว มีพลังออร่าปานยุคดึกดำบรรพ์แผ่กระจายออกมาจากร่างกายเขา
พันธนาการของร่างเนื้อร่างเทวถูกทลายในวินาทีนี้!
ณ วินาทีนี้ ร่างเนื้อที่ได้รับความเสียหายก็เริ่มฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติด้วยความเร็วที่รวดเร็วอย่างยิ่ง มีรังสีที่เหมือนดังสมบัติกระพริบระยิบระยับอยู่บนตัวเขา ผิวหนังชั้นนอกยิ่งมีออร่าพลังเต๋าที่นับไม่ถ้วนไหลเวียน จนประกอบเป็นลายเส้นพิเศษต่าง ๆ แล้วหลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อของเขา
“ในที่สุดแดนร่างเทวก็บรรลุถึงระดับแปดแล้ว”
มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว ถึงแม้การโจมตีจากรัศมีเทวสีทองมืดที่นับไม่ถ้วนยังคงสร้างความเสียหายให้เขาอยู่เช่นเคย แต่กลับไม่สามารถสร้างภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เขาได้อีกแล้ว
ซึ่งนี่ก็คือความเกะกะระรานของร่างเทวระดับแปด ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ร่างเทวระดับเจ็ดขั้นสูงสามารถเทียบเคียงได้
ร่างเนื้อในปัจจุบันของเขาเทียบเท่าอาวุธเทพระดับแปดหนึ่งชิ้น ยิ่งกว่านั้นคือแข็งแกร่งกว่าอาวุธเทพระดับแปดส่วนมากอีกด้วย
“ตราประทับปรปักษ์สวรรค์!”
“หมัดจ้านเทียน!”
หลัวซิวกางมือทั้งสองข้างออก ปล่อยพลังอมตะออกไปจากมือทั้งสองข้าง ใช้อำนาจทลายสิ่งกีดขวาง แล้วก้าวเข้าสู่เขตพื้นที่ใหม่
ระดับพลังโจมตีที่เขาพบเจอตลอดการฝ่าฟันเข้ามาในก่อนหน้านี้ของเขา มีเริ่มตั้งแต่เทพมารระดับห้าตลอดจนเทพมารระดับแปด
ส่วนวินาทีนี้ อาศัยจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ร่างยุทธ์ร่างเนื้อทลายพันธนาการ เขาพุ่งขึ้นมาถึงขีดสูงสุดของเทพมารระดับแปดในรวดเดียว แล้วมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเขาผีเก้า
“ช่างเป็นจิตสังหารที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
ทันทีที่มาถึงที่นี่ หลัวซิวไม่เจอพลังโจมตีใด ๆ แต่กลับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขต แค่จิตสังหารที่แฝงซ่อนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็ราวกับจะฉีกกระชากร่างเขาให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ยังไงอย่างนั้น
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็เขม็งตามองไป มองเห็นรัศมีสีดำทองก้อนหนึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้า รัศมีสีดำทองก้อนนั้นเหมือนดั่งพระอาทิตย์สีดำทอง และจิตสังหารที่ไร้ขอบเขตนั่นก็แผ่กระจายออกมาจากพระอาทิตย์สีดำทองดวงนั้นนั่นเอง
เมื่อมาถึงที่นี่ ความรู้สึกของหลัวซิวก็แตกต่างไปจากเดิมเลย เมื่อโยงกับเรื่องที่เขาประสบพบเจอกับพลังโจมตีต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างทาง กระทั่งมาถึงจุดนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักที
พลังที่ตลบฟุ้งอยู่ในเขาผีเก้าก็เป็นพลังแห่งสวรรค์ประเภทหนึ่งเช่นกันอย่างนั้นหรือ สาเหตุที่เขาดูไม่ออกตั้งแต่แรกนั้น เป็นเพราะเขาไม่เคยสัมผัสกับพลังแห่งสวรรค์ประเภทนี้มาก่อน
พลังแห่งชิงเทียนดั่งการเวียนว่ายตายเกิด พลังแห่งสิงเทียนยึดกุมเทวทัณฑ์ พลังแห่งปรโลกมืดทึบน่ากลัว พลังแห่งเวหาเฉียบคมจนไม่อาจต้านทานได้!
จวบจนปัจจุบัน หลัวซิวเคยสัมผัสกับพลังของสี่ในสวรรค์ทั้ง 12 แล้ว ทว่าพลังที่ผนึกรวมกันจนกลายเป็นพระอาทิตย์สีดำทอง ณ วินาทีนี้ กลับมีออร่าพลังเต๋าที่แตกต่างจากพลังแห่งสวรรค์ทั้งสี่โดยสิ้นเชิงเลย เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่คือพลังแห่งสวรรค์ประเภทที่ห้าที่เขาพบเจอ
ไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนย่อมต้องเข้าใจตำนานเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับสวรรค์ทั้ง 12 อยู่แล้ว อ้างอิงจากการคาดคะเนของเขา พลังแห่งสวรรค์ ณ วินาทีนี้มีโอกาสเป็นพลังฉีกชั้นฟ้าสูงมาก
ฉีกชั้นฟ้าก็เป็นหนึ่งใน 12 สวรรค์เช่นกัน ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับที่หก ส่วนเอกลักษณ์ของพลังฉีกชั้นฟ้าก็คือฉีกกระชากบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังฉีกชั้นฟ้า ทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนแต่จะกลายเป็นฝุ่นผง!