มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2744 วิมานเทวอัสนีชิงเสวียน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2744 วิมานเทวอัสนีชิงเสวียน
บนดาวเคราะห์ที่มีเปลวไฟลุกโชนดวงหนึ่ง หลัวซิวยืนอยู่บนหน้าผา ด้านล่างคือลาวาไหลเชี่ยวที่ร้อนจัดจนจากจะเปรียบได้ เขานั่งขัดสมาธิรออยู่ที่นี่สามวัน โดยวางกระบี่เหล็กสามัญเล่มนั้นเอาไว้บนหน้าตัก ส่องประกายแวววาวจาง ๆ
วันนี้ มีเส้นกลเส้นหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้า จากนั้นก็มีร่างร่างหนึ่งซึ่งสวมใส่ชุดสีเขียว ปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะของหลัวซิว
คนชุดเขียวผู้นี้ก็คือตู๋กู่เจี้ยนเฉิน เป็นผู้แข็งแกร่งโลกกระบี่ยุคเดียวกับไท่ซ่างฉิง !
เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางอากาศ แววตาและร่างกายดูเฉียบคมราวกับกระบี่ เมื่อมองไป ดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่คน แต่เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง เป็นกระบี่ที่ไม่แสดงความแหลมคมออกมา แต่กลับสังหารคนได้ในชั่วพริบตา !
“ผลการฝึกตนของเจ้าฟื้นฟูได้รวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ?”
เมื่อตู๋กูเจี้ยนเฉินเห็นหลัวซิว ขณะที่อีกฝ่ายใช้วิชาอาถรรพ์ขยับกระบี่เหล็กสามัญเล่มนั้น เขาก็สัมผัสได้ จึงตามมาที่นี่
เขาสังเกตเห็นผลการฝึกตนของหลัวซิว ปรากฏว่าเป็นเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง นี่เพิ่งจะผ่านมาเพียงแค่กี่ปีเท่านั้น ?
แม้เขาจะมีความทรงจำของวัฏสงสารในการกลับชาติมาเกิด ด้วยเหตุนี้ผลการฝึกตนย่อมพัฒนาได้รวดเร็วกว่านักยุทธ์ทั่วไป แต่ความรวดเร็วในการฝึกตนระดับนี้ ดูเหมือนจะเร็วเกินไปนัก
จากการคาดเดาของตู๋กูเจี้ยนเฉิน การฝึกตนของเขาน่าจะอยู่เพียงแดนเทพมารระดับเจ็ด แต่ทว่าตอนนี้กลับเป็นถึงเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง !
“อย่ายืนอยู่สูงขนาดนั้นจะได้ไหม ? ข้าเงยหน้ามองเจ้าจะเหนื่อยเอาได้” หลัวซิวพูดพลางหัวเราะ
“หึ !”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินส่งเสียงฟึดฟัด จากนั้นก็เหาะลงมาจากท้องฟ้า และนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าหลัวซิว ตาทั้งสี่ข้างประสานกัน
“เจ้าหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ ?” ตู๋กูเจี้ยนเฉินแสดงท่าทีเย็นชา นี่คือนิสัยตามธรรมชาติของเขา และเป็นเพราะสาเหตุเรื่องจี้หวูชวง
“เมิ่งเชียนชางมาหาข้าแล้ว” หลัวซิวสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงเคร่งขรึม
“เมิ่งเชียนชาง ! ?” สีหน้าของตู๋กูเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในสมัยก่อนยุคแห่งความโกลาหล มีผู้มีพรสวรรค์เกิดขึ้นมากมาย ผู้แข็งแกร่งต่อสู้กัน นอกจากไท่ซ่างฉิงแล้ว เกรง่วาจะไม่มีใครที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเมิ่งเชียนชางได้ !
“เขาอยู่แดนเทพมารระดับเก้า เพราะการผ่านวัฏสงสารกลับชาติมาเกิดของเขา จึงอยู่ในแดนผู้สูงส่งแปดด้าน มีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าข้า ส่วนข้านั้นปีนขึ้นมาจากโลกาดาราซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของจักรวาล ความแข็งแกร่งจึงไม่อาจฟื้นฟูได้รวดเร็วเหมือนกับเขา”
หลัวซิวพยักหน้า “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นจึงได้เชิญเจ้ามาช่วยข้า”
……
หลังจากผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าแล้ว เขาก็พาคนกลุ่มหนึ่งเดินทางจากโลกจักรภพมายังโลกร้าง
หลายปีมานี้เขาอ่อนน้อมถ่อมตนมาตลอด สร้างสำนักขึ้นมาหนึ่งแห่ง โดยใช้ชื่อว่าสำนักเซียนเมิ่งเทียน และไม่ได้แย่งชิงดินแดนและทรัพยากรกับกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบ แต่กลับส่งคนท่องไปทั่วโลกร้าง เพื่อตามหาเบาะแสของหลัวซิว
เรารู้ว่าตัวตนในชาติใหม่ของไท่ซ๋างฉิง มีนามว่าหลัวซิว หากมาจากมหาโลกาพันสาม จะต้องมายังโลกร้างอย่างแน่นอน
และจากวามเข้าใจที่เขามีต่อไท่ซ่างฉิง หากเขามาถึงโลกร้างแล้ว จะต้องพยายามพลิกสถานการณ์ ดังนั้นการตามหาเขาให้เจอจึงไม่ใช่เรื่องยาก
สถานที่ตั้งของสำนักเซียนเมิ่งเทียน ตั้งอยู่ที่อาณาจักรตะวันตกของโลกร้าง อยู่ตรงกลางห้าอาณาจักรดาราใหญ่ของโลกร้าง ทรัพยากรในอาณาจักรดาราทางตะวันตกค่อนข้างขาดแคลน เทียบไม่ได้กับอาณาจักรตอนกลาง และอาณาจักรทางเหนือ รวมไปถึงอาณาจักรตะวันออกและอาณาจักรทางใต้
กองกำลังในอาณาจักรดาราตะวันตกเองก็ค่อนข้างซับซ้อน ในสำนักเซียนเมิ่งเทียน นอกจากเมิ่งเชียนชางแล้ว เขายังมีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าอีกสองคนคอยติดตาม ซึ่งล้วนยอมสิโรราบเพราะความสามารถอันแข็งแกร่งของเขา
หลัวซิวมาถึงอาณาจักรดาราตะวันตก ก่อนจะมาที่นี่ เขาโคจรวิถีไร้ลักษณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงออร่าวิญญาณของตนเองเรียบร้อยแล้ว หากเป็นเช่นนี้ เมื่อเขาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกรวมไปถึงออร่า ต่อให้ยืนอยู่ต่อหน้าเมิ่งเชียนชาง เขาก็ไม่มีทางจำตนเองได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้เส้นทางแห่งวัฏสงสารจะสูงเกินคาดเดา แต่วิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิว ก็ลึกซึ้งยิ่งกว่าวัฏสงสารอย่างไม่อาจคาดเดาได้ !
“เจ้าจงหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางสมบัติของข้าก่อน”
หลัวซิวหันมองตู๋กูเจี้ยนเฉิน เจ้าหมอนี่ไม่มีวิถีลักษณ์ จึงไม่อาจเก็บซ่อนออร่าการฝึกตนได้ จึงง่ายต่อการถูกเปิดเผย
สำหรับเรื่องนี้ตู๋กูเจี้ยนเฉินเองก็ไม่ได้โต้แย้ง และปล่อยให้หลัวซิวเสกตำหนักวัฏสงสารออกมา และเก็บเขาเข้าไปด้านใน
อาศัยการเปลี่ยนแปลงของวิถีไร้ลักษณ์ หลัวซิวปลอมตัวเป็นเทพมารระดับห้าธรรมดา ๆ คนหนึ่ง และเดินไปมาอยู่ใกล้ ๆ สำนักเซียนเมิ่งเทียน
เขาเดินไปมาเพียงไม่นานก็จากไป จากนั้นก็เปลี่ยนรูปลักษณ์และออร่าใหม่ แล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง เพื่อเลี่ยงไม่ให้มีคนสงสัย และเกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นตามมาได้
เขาไม่ได้บุกเข้าไปในสำนักเซียนเมิ่งเทียนด้วยความประมาท ในฐานะที่เป็นศัตรูตัวฉกาจ เขาจึงรู้จักฝีมือของเมิ่งเชียนชางเป็นอย่างดี เขาสร้างสำนักขึ้นมาที่นี่ แม้จะไม่ได้มุ่งมั่นในการพัฒนา แต่ก็ต้องสร้างให้แข็งแกร่งดุจถังเหล็ก จึงไม่อาจบุกรุกเข้าไปง่าย ๆ ได้
หลายวันผ่านไป สำนักเซียนเมิ่งเทียนกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แต่หลัวซิวกลับใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง และคอยเฝ้ารอโอกาสอย่างเงียบ ๆ
วันนี้ มีแสงกลสามเส้นพุ่งออกมาจากสำนักเซียนเมิ่งเทียน หลัวซิวจึงรีบหลบซ่อนตัวและสะกดรอยตามไปทันที
รอให้ออกห่างจากสำนักเซียนเมิ่งเทียนมาพอสมควรแล้ว หลัวซิวก็รีบลงมืออย่างรวดเร็ว โดยจับยอดฝีมือทั้งสามของสำนักเซียนเมิ่งเทียนเอาไว้ในทันที
ทั้งสามคนมีผลการึกตนที่ไม่สูงนัก อยู่เพียงแดนเทพมารระดับเจ็ดเท่านั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวแบ่งออกเป็นสามสายทันที และบังคับค้นวิญญาณ อ่านความทรงจำของพวกเขา เพื่อค้นหาที่อยู่และเบาะแสเกี่ยวกับเมิ่งเชียนชาง
หลังจากอ่านความทรงจำแล้ว หลัวซิวก็ยกมือขึ้นและเสกอัคคีเทพออกมา เผาไหม้ศิษย์ของสำนักเซียนเมิ่งเทียนทั้งสามจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“ว่าอย่างไรบ้าง ?”ในตำหนักวัฏสงสาร เสียงเอ่ยถามของตู๋กูเจี้ยนเฉินดังขึ้นมา
“เมิ่งเชียนชางไม่ได้อยู่ในสำนักเซียนเมิ่งเทียน……” หลัวซิวพูดขึ้นพลางส่ายหัว
จากความทรงจำของศิษย์สำนักเซียนเมิ่งเทียนทั้งสาม หลัวซิวได้รู้ว่าตอนนี้เมิ่งเชียนชางไม่ได้อยู่ในสำนักเซียนเมิ่งเทียน แต่กลับอยู่ในเหลยเจ๋อ ซึ่งอยู่ห่างจากสำนักออกไปหลายสิบล้านลี้
เหลยเจ๋อแห่งนั้น เป็นสถานที่อันตรายมาก มีฟ้าร้องโหมกระหน่ำอยู่ตลอดเวลา ในส่วนลึกที่สุดของแสงสายฟ้าถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าคนหนึ่งได้ !
ถึงแม้จะอันตราย แต่พลังของสายฟ้าที่อยู่ในเหลยเจ๋อ กลับเป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับการฝึกตนร่างเนื้อ ยอดฝีมือหลายคนของสำนักเซียนเมิ่งเทียน ล้วนฝึกตนร่างเนื้อในเหลยเจ๋อ และพบถ้ำโบราณแห่งหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ
ถ้ำแห่งนี้หลบซ่อนตัวเป็นอย่างดี แต่อาศัยเพียงผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดนั้นไม่สามารถเปิดออกได้ ดังนั้นจึงได้รายงานเรื่องนี้ต่อสำนัก หลังจากเมิ่งเชียนชางรู้เรื่องเข้า จึงพาผู้แข็งแกร่งใหญ่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาสองคนเดินทางมาที่นี่
ข่าวนี้ มีเพียงแค่คนระดับสูงของสำนักเซียนเมิ่งเทียนเท่านั้นที่รู้ และที่เทพมารระดับเจ็ดตัวเล็ก ๆ ทั้งสามคนนั้นรู้เรื่องมากขนาดนี้ เป็นเพราะทั้งสามคนเป็นศิษย์ของซุนจ้งและผูผิง
ซุนจ้งและผูผิงทั้งสองคนนี้ คือเทพมารระดับเก้าที่เมิ่งเชียนชางปราบมาได้
ด้วยค่ายกลซ่อนงำที่จารึกอยู่ในตัว หลังจากนั้นไม่นานนัก หลัวซิวก็เดินทางมาถึงเหลยเจ๋อ และหาที่ตั้งของถ้ำโบราณเจอ
ด้านหน้าของประตูถ้ำ มียอดฝีมือของสำนักเซียนเมิ่งเทียนอยู่หลายคน แต่ล้วนมีผลการฝึกตนที่ไม่สูงนัก ส่วนเมิ่งเชียนชางและผู้ติดตามทั้งสองของเขาล้วนไม่อยู่ ซึ่งน่าจะเข้าไปด้านในถ้ำแล้ว
อาศัยการหลบซ่อนตัวด้วยค่ายกลซ่อนงำ หลัวซิวแทบจะเดินเข้าไปในถ้ำได้อย่างสบาย ๆ ศิษย์จำนวนมากที่รับผิดชอบเฝ้าปากทางเข้าถ้ำเอาไว้ ล้วนไม่มีใครสังเกตเห็นการเดินของเขาสักคน
ตรงหน้าประตูเข้าถ้ำมีตัวต้องห้าม แต่กลับถูกเปิดออกเรียบร้อยแล้ว หลังจากหลัวซิวเดินเข้าไป ก็ต้องหยุดฝีเท้าลงทันที
“ออร่าพลังเต๋าของพลังชิงเทียน !”
เขารู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย เข้าค่อนข้างรับรู้ได้ไวและคุ้นชินต่อออร่าพลังเต๋าของพลังชิงเทียน เขามั่นใจว่าตนองไม่มีทางเข้าใจผิดอย่างแน่นอน
อีกทั้งหยกเทวชิงเทียนที่ไม่สมบูรณ์ ที่อยู่ภายในแหวนเก็บของของเขาก็สั่นขึ้นมา หรือนี่จะหมายความว่า ในส่วนลึกของถ้ำโบราณแห่งนี้ มีชิ้นส่วนชิ้นที่ห้าของหยกเทวชิงเทียนเก็บอยู่อย่างนั้นหรือ ?
การค้นพบครั้งนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง หากรวบรวมชิ้นส่วนของหยกเทวจนครบ ภัณฑ์เซียนชิงเทียนชิ้นนี้ ก็จะฟื้นฟูกลับมาในสภาพเดิม ภัณฑ์เซียนชิงเทียนสามชิ้นที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากยุคไท่ชู มีสองชิ้นที่อยู่ในมือของเขา !
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่าผ่านยุคแห่งความโกลาหลมามากมายเท่าไร ชิงเทียนสร้างภัณฑ์เซียนสามชิ้นขึ้นมาด้วยตนเอง ย่อมเรียกได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าชั้นยอด !
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวก็ตรงเข้าไปยังส่วนลึกของถ้ำโดยไม่ลังเล ไม่รู้ว่าทางเข้าเป็นระยะทางยาวเท่าไร ยิ่งเข้าไปลึกขึ้น สายฟ้าก็พุ่งออกมาทั่วทุกทิศทุกทางตลอดโถงทางเดิน เมื่อเป็นเช่นนี้ ค่ายกลซ่อนงำที่จารึกอยู่ในตัวของหลัวซิวก็ไม่อาจปิดซ่อนได้อีก ร่างกายจึงถูกเปิดเผยออกมา
สายฟ้าในนี้ ไม่เพียงพอจะทำให้หลัวซิวบาดเจ็บได้ แต่เพราะไม่ต้องการทำให้เมิ่งเชียนชางที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในเกิดความแตกตื่น หลัวซิวจึงไม่ได้ใช้ผลการฝึกตนในการตั้งรับ แต่ปล่อยให้สายฟ้าฟาดลงมาบนร่างเนื้อ ถึงขั้นผ่านรูขุมขนเข้าไปในร่างกาย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหลัวซิวก็เดินมาจนสุดทางเดิน มีถ้ำอันโอ่อ่าปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ถ้ำแห่งนี้ เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นจากหินชิงเสวียนอัสนีคำราม หิวเทวประเภทนี้นำมาใช้กลั่นตัวเซียนของอาวุธเทพระดับเก้า มีความลับของกฎเทวอัสนีอยู่
ประตูใหญ่ของพระราชวังวิมานถ้ำเปิดอยู่ มีร่องรอยการถูกคนผลักเปิด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นพวกของเมิ่งเชียนชางทั้งสาม
หลัวซิวไม่รู้ว่า พวกของเมิ่งเชียนชางค้นหาถ้ำแห่งนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว สายตาของเขาจับจ้องไปที่แผ่นป้ายที่อยู่เหนือประตู และเห็นตัวอักษรคำว่า ‘วิมานเทวอัสนีชิงเสวียน’
“เทวอัสนีชิงเสวียน ?” หลัวซิวขมวดคิ้ว ในควาทรงจำไม่มีคนผู้นี้บันทึกอยู่ บางทีอาจเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในยุคสมัยที่เก่าแก่ยิ่งกว่าชาติที่แล้วของเขา หรือไม่แน่ว่า อาจเป็นผู้แข็งแกร่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่สามารถสร้างพระราชวังวิมานถ้ำเช่นนี้ขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นราชาเทพระดับเก้า ไม่ใช่เทพมารระดับเก้าธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
หลัวซิวเดินตรงไปด้านหน้า ใช้พลังญาณเทวปลุกเสกตัวสำนึก เมื่อมั่นใจว่าตรงประตูใหญ่ไม่มีร่องรอยของค่ายกลตัวต้องห้าม จึงเดินเข้าไปด้านใน
ด้านในถ้ำตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม คานและเสามีการแกะสลักและทาสี ใช้หินรูปร่างแปลกตาทำเป็นภูเขาปลอม ทุกที่ล้วนใช้วัสดุล้ำค่ากลั่นออกมา แต่ถ้ำของผู้แข็งแกร่งก็มีตัวต้องห้ามอยู่จำนวนมาก ตลอดทางหลัวซิวเห็นร่องรอยของตัวต้องห้ามที่ถูกทำลายจำนวนไม่น้อย ป้างก็ถูกบังคับทำลาย บ้างก็แตกออกอย่างยอดเยี่ยม สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ในบรรดาพวกของเมิ่งเชียนชางทั้งสามคน ต้องมีหนึ่งคนที่เป็นนักค่ายเทพอย่างแน่นอน
อาศัยความเข้าใจที่เขามีต่อเมิ่งเชียนชางในชาติก่อน เขาโหยหาความสามารถและการฝึกตนที่แข็งแกร่ง จึงไม่เชี่ยวชาญในด้านค่ายกลนัก นั่นก็หมายความว่า ผู้แข็งแกร่งที่คอยติดตามเขาทั้งสองคน ต้องมีหนึ่งคนที่เป็นนักค่ายเทพ อีกทั้งอย่างน้อยต้องเป็นนักค่ายเทพระดับเก้า !
“เปรี้ยง !”
จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา หลัวซิวหรี่ตาลง เขาเร่งฝีเท้าเดินตรงเข้าไป วิถีไร้ลักษณ์โคจรอยู่ในร่างใน อำพรางออร่าที่ผันผวนทั้งหมด ร่างกายเผยออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราวระหว่างอนัตตา
ระหว่างทาง หลัวซิวเห็นชิ้นส่วนสมบัติที่แตกกระจาย และร่องรอยจากการโจมตีของศัสตราวุธพลังอมตะ ดูเหมือนว่าพวกของเมิ่งเชียนชางจะพบกับคู่ต่อสู้และมีการประมือกันขึ้น