มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2752 ลุยฝ่าออกไปจากหุบเขากาลเวลา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2752 ลุยฝ่าออกไปจากหุบเขากาลเวลา
หลังจากออกมาจากละแวกใกล้เคียงของทะเลสาบมรณาแห่งเขตพื้นที่ที่สอง ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงเขตพื้นที่ที่สาม อาณาเพลา
เบิ่งมองออกไปไกล ๆ ด้านหน้าคือหุบเขาแห่งหนึ่ง ปริมาตรของหุบเขาแห่งนี้ใหญ่โตจนน่าทึ่ง กว้างไกลลิบตา มองไปไม่เห็นขอบเขต และที่นี่ก็คือหุบเขากาลเวลา
ภายในขอบเขตของหุบเขากาลเวลา มีเพียงสีขาวบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีสีสันอื่นใดอีกเลย อีกทั้งภายในหุบเขามีออร่าพลังเต๋าของเกณฑ์เวลาตลบฟุ้งสั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้ทันทีที่เข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ กฎและเกณฑ์อื่น ๆ ล้วนจะถูกห้วงเวลากดอัด
“สถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดา!”
สวีเซิ่งเจี๋ยยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว พลางเพ่งมองหุบเขาแห่งนี้พลางพูดกระแทกเสียงต่ำ
หลัวซิวก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน เบิ่งมองออกไปไกล ๆ ภายในหุบเขากาลเวลามีพระราชวังที่สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางหลายหลัง ภายในพระราชวังทุกหลัง ล้วนราวกับมีเทพมารที่แข็งแกร่งคอยปกปักรักษาอยู่ที่นี่
สำหรับหกเขตพื้นที่ใหญ่ของแดนสุขาวดีนั้น ยิ่งเป็นเขตพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งอันตราย ในอดีตก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเท่านั้นที่สามารถฝ่าฟันเข้าไปได้ มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ สำหรับเรื่องเลื่องลือต่าง ๆ ของเขตพื้นที่ที่หกนั้น ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าลือเท่านั้น ซึ่งยังไม่เคยได้รับการพิสูจน์มาก่อน
“อย่าริอ่านเข้าใกล้พระราชวังเหล่านั้น”
หลัวซิวเก็บพลังออร่าของตัวเองกลับมา ก่อนจะย่างเท้าเดินเข้าไปในหุบเขากาลเวลา อันที่จริงภายในหุบเขากาลเวลาแห่งนี้มีค่ายกลต้องเทพต่าง ๆ ถูกจัดวางอยู่ เขามุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าพลางอนุมานในตัวหยั่งรู้ ก่อนจะทำการคัดเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด พยายามหลบเลี่ยงพระราชวังเหล่านั้นในหุบเขาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้
เมื่อเดินเข้าไปในหุบเขากาลเวลา ก็มีออร่าแห่งกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปแพร่กระจายมา ซึ่งนี่ก็คือพลังของเกณฑ์ห้วงเวลา ทันทีที่ถูกห้วงเวลาเกาะกิน อายุขัยของทุกคนล้วนจะไหลหายไปด้วยระดับความเร็วที่น่าสยดสยองมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อออร่าเกณฑ์ห้วงเวลาที่อยู่ในหุบเขาเข้าใกล้หลัวซิว พวกมันก็จะถูกสรรพวิถีล้วนว้างของวิถีไร้ลักษณ์ทำให้สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง ออร่าที่ส่งผลกระทบต่อร่างเขาอย่างแท้จริงนั้น จึงเบาบางมาก ๆ แล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้เช่นกันว่าอายุขัยของตัวเองกำลังไหลหายไป ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง อายุขัยก็หายไปสิบปีแล้ว!
ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แต่อย่างใด ภพชาตินี้เขาเพิ่งฝึกตนมาหนึ่งพันกว่าปี และจากแดนผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเขา อย่างน้อยอายุขัยก็อยู่ที่หลักร้อยล้านปี เขาจึงยอมรับระดับความเร็วที่อายุขัยไหลหายไปประเภทนี้ได้อยู่
“ช่างเป็นเกณฑ์ห้วงเวลาที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
สวีเซิ่งเจี๋ยก็เดินเข้ามาในหุบเขากาลเวลาตามเขาเช่นกัน แสงเทวไร้มลทินของเขาด้อยกว่าสรรพวิถีล้วนว้างหนึ่งระดับ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง อย่างน้อยอายุขัยก็หายไปเกือบร้อยปีเลย
ในขณะเดียวกัน เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อเกณฑ์ห้วงเวลาประชิดใกล้ร่างหลัวซิว พลังออร่าก็จะค่อย ๆ ลดทอนลงไปเช่นกัน นี่จึงทำให้มีความแปลกใจปรากฏในแววตาเขา “สหายหลัว หรือว่าเจ้าก็มีร่างเทวไร้มลทินเหมือนกัน?”
ร่างเทวไร้มลทินเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากมาก ตั้งแต่โบราณกาลมาก็มีอุบัติขึ้นมาเป็นครั้งคราว หนึ่งยุคสมัยก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือใช่ว่าจะอุบัติขึ้นมาทุกยุคสมัยเสมอไป สวีเซิ่งเจี๋ยคิดว่าตัวเองมีฐานร่างที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองผู้ใดในโลกหล้านี้มาโดยตลอดเลย แล้วนี่จะทำให้เขาไม่ตะลึงได้อย่างไรเล่า?
“เจ้าลองเดาดูสิ”หลัวซิวยิ้มอ่อน ไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด
สวีเซิ่งเจี๋ยเห็นว่าเขาไม่อยากพูดมาก ก็รู้แล้วว่านี่คือความลับส่วนบุคคล จึงทำได้เพียงระงับความสงสัยในใจเอาไว้ ไม่ถามอะไรอีก
ระดับความเร็วที่ทั้งสองมุ่งหน้าไปข้างหน้าไม่เร็วเท่าไหร่นัก เนื่องจากตัวต้องห้ามในหุบเขากาลเวลามีเยอะเกินไป แม้นจากระดับฝีมือด้านค่ายกลของหลัวซิว บางครั้งก็ต้องหยุดเคลื่อนที่แล้วอนุมานตัวต้องห้ามที่อยู่ภายในก่อน ถึงจะกล้าย่างเท้ามุ่งหน้าไปข้างหน้าต่อ
ในส่วนของสวีเซิ่งเจี๋ยนั้น เขาไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลเลยแม้แต่น้อย ล้วนทำได้เพียงเดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิว
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น ก็เป็นเพราะผลการฝึกตนศักยภาพของพวกเขาค่อนข้างต่ำ หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่ง ก็สามารถมองข้ามค่ายกลต้องเทพของที่นี่ได้โดยสิ้นเชิงเลย การใช้อำนาจฝืนบุกเข้าไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน
เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปสองชั่วโมง ทั้งสองมาถึงเขตใจกลางหุบเขากาลเวลา ค่ายกลต้องเทพของที่นี่ถี่ยิบมากยิ่งขึ้น จึงทำให้หลัวซิวต้องขมวดคิ้วลงไปอย่างควบคุมไม่ได้
“สหายหลัวมีอะไรหรือ?”สวีเซิ่งเจี๋ยเดินขึ้นมาถาม
“เราเดิมอ้อมพระราชวังที่ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไปไม่ได้!”
หลัวซิวใช้นิ้วชี้ไปทางพระราชวังที่สูงตระหง่านตรงหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าของสวีเซิ่งเจี๋ยก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน พวกเขาทั้งสองต่างสามารถสัมผัสได้ถึงอำนาจที่น่าเกรงขามและแข็งแกร่งจากพระราชวัง หากเดินอ้อมไม่ได้ละก็ เมื่อพวกเขาทั้งสองเดินข้ามผ่านพระราชวัง มีโอกาสทำให้ผู้แข็งแกร่งที่คอยปกปักรักษาอยู่ที่นี่ตื่นตกใจสูงมาก
“บัดนี้สิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าเจ้าและข้ามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ระหว่างเดินย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม หรือลองลุยฝ่าไปดู”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้
“ย่อมถอยไม่ได้อยู่แล้ว!”
สวีเซิ่งเจี๋ยส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ แล้วพูดด้วยท่าทางทะนงองอาจ: “ตั้งแต่แซ่สวีออกมาสั่งสมเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นต้นมา ไม่ว่าจะประสบพบเจอกับภัยอันตรายแบบใด สวีเซิ่งเจี๋ยข้าก็ไม่เคยหลบหนีมาก่อน หากประสบกับความยากลำบากแล้วถดถอย แล้วยังคาดหวังการแสวงหาจุดสูงสุดบนวิถียุทธ์อีกหรือ?”
หลัวซิวสามารถสัมผัสความมั่นใจและความทะเยอทะยานอันแรงกล้าได้จากตัวสวีเซิ่งเจี๋ยอย่างชัดเจนเลย
ใช่แล้ว สวีเซิ่งเจี๋ยเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานที่แรงกล้ามาก ๆ เขามีร่างเทวไร้มลทินที่หาพบได้ยาก ความมุ่งมาดปรารถนาของเขาไม่ใช่แค่ฝึกถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า หรือฝึกตนจนบรรลุเป็นผู้สูงส่ง การเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างสวรรค์และจ้าววัฏสงสารคือความฝันอันป่าเถื่อนในชั่วชีวิตนี้ของเขาต่างหาก!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงฝ่าฟันดูสักตั้งแล้วล่ะ”
หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ อันที่จริงเขารู้สึกชื่นชมคนที่มีความทะเยอทะยานมาก ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีจิตใจอันป่าเถื่อนอย่างสวีเซิ่งเจี๋ย และสภาพจิตใจเขาก็ไม่ค่อยเลวเช่นกัน ซึ่งไม่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจ
มิหนำซ้ำการที่มีคนเคียงข้างอยู่บนเส้นทางแห่งการแสวงหาจุดสูงสุดบนวิถียุทธ์ มันก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งมิใช่หรือ?
เขาในภพชาตินี้ ไม่อยากลิ้มลองความโดดเดี่ยวที่เดินอยู่บนวิถีธรรมอันยิ่งใหญ่คนเดียวอีกครั้งแล้ว
หลัวซิวมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าโดยอ้างอิงจากเส้นทางที่อนุมานออกมาได้ สวีเซิ่งเจี๋ยเดินตามอยู่ด้านหลังเขาโดยที่ไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อทั้งสองยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้พระราชวังที่สูงตระหง่านนั่น จู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น!
“ตู้มม!”
พลังออร่าที่สยดสยองอย่างไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกมาจากพระราชวัง พลังออร่านี้แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนขนหัวลุก มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่เทียบเท่าเทพมารระดับเก้าอย่างหลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ย เมื่ออยู่ภายใต้การม้วนซัดของพลังออร่านี้ ต่างก็รู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางพายุมรสุม ร่างเขาอยู่ไม่นิ่งเลย
“ลุยฝ่าออกไป!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็ผันร่างเป็นแสงกลหายไปจากด้านหน้าก่อน ผู้เฝ้าดูแลรักษาหุบเขากาลเวลายังตื่นตกใจ เช่นนั้นจึงต้องหลบหนีออกไปจากที่นี่ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
“หึ!”
มีเสียงหึอันเยือกเย็นสะท้อนออกมาจากพระราชวัง ถัดจากนั้นก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากพระราชวัง มือใหญ่ข้างนี้ฉีกกระชากห้วงเวลาทิ้งได้อย่างง่ายดาย และมีพลังที่น่าทึ่งอย่างยิ่งแฝงซ่อนอยู่ด้วย
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เมื่อมือใหญ่ข้างนี้กางออก ขอบเขตพื้นที่ที่แผ่คลุมก็ยิ่งอยู่ยิ่งกว้าง ภายใต้การแผ่คลุมจากมือใหญ่ข้างนี้ ห้วงเวลาล้วนถูกคุมขัง ทำให้ความเร็วในการบินหนีของหลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยลดฮวบ ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้
อีกทั้งพวกเขาทั้งสองคนยังสัมผัสได้ด้วยว่าห้วงเวลาที่อยู่รอบกายไหลหายไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่สรรพวิถีล้วนว้างกับแสงเทวไร้มลทินก็ต้านทานไม่อยู่ อายุขัยกำลังไหลหายไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก!
เพียงชั่วขณะ สวีเซิ่งเจี๋ยก็เปลี่ยนจากวัยรุ่นคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน อายุขัยไหลหายไปไม่ต่ำกว่าสิบล้านปี!
สถานการณ์ของหลัวซิวดีกว่าเขาเล็กน้อย แต่อายุขัยก็ไหลหายไปหลักล้านปีเช่นกัน!
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น เป็นเพราะเจ้าของมือใหญ่ข้างนี้แข็งแกร่งมากเกินไป พลังของเขาทำให้ร่างเทวไร้มลทินและวิถีไร้ลักษณ์ต่างต้านทานไม่ไหว อย่างไรเสียผลการฝึกตนของหลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยก็ไม่สูง แดนร่างเทวไร้มลทินและวิถีไร้ลักษณ์ก็ไม่สูงด้วย
“เตี๊ยงง!”
ภายใต้ความตะลึงและโกรธ สวีเซิ่งเจี๋ยเรียกดาบกระบี่ศัสตราวุธออกมา พลานุภาพของภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าทั้งสองชิ้นนี้เป็นหนึ่งไม่เป็นรอง ทว่าเมื่อร่วงลงบนมือใหญ่ กลับเกิดเป็นสะเก็ดไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
สีหน้าของสวีเซิ่งเจี๋ยเปลี่ยนไปอย่างมาก ภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้ายังทำอะไรไม่ได้ แสดงว่าร่างเนื้อของฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่ต่ำกว่าร่างราชาเทพระดับเก้า ยิ่งกว่านั้นคืออาจจะเป็นร่างมกุฎเทพเลย!
เห็นเพียงมือใหญ่ข้างนั้นกดอัดลงมา หากไม่มีอุบายอื่น พวกเขาทั้งสองคนต้องถูกมือใหญ่ข้างนี้กดอัดจนกลายเป็นชิ้นเนื้อเละ ๆ อย่างแน่นอน ร่างตายธรรมสูญ
“สยบ!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น เมื่ออยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เขาก็ไม่มีเวลาปิดบังอุบายของตัวเองแล้ว ศิลาเทวชิงเทียนบินออกมาจากหว่างคิ้ว แล้วขยายใหญ่ขึ้นกะทันหัน เหมือนดังเขาเซียนสีเขียวหนึ่งลูก เสียงตู้มดันลั่นขึ้นมา กดอัดลงมือใหญ่ข้างนั้น
ศิลาเทวชิงเทียนมีพลานุภาพที่ไร้ขอบเขต มาตรแม้นว่าผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานในยุคไท่ชู ก็ถูกกดอัดจนไม่สามารถหลบหนี แม้นผลการฝึกตนของหลัวซิวจะไม่สูง แต่มือใหญ่ข้างนี้ก็ถูกกดอัดไว้แล้ว ซึ่งอย่าคิดว่าจะสามารถหลุดพ้นออกไปได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ
“ช่างเป็นสมบัติที่ทรงพลังยิ่งนัก สหายหลัว เจ้ามีสมบัติที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ไยจึงไม่ออกมาตั้งแต่แรกเล่า?”
สวีเซิ่งเจี๋ยรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง บัดนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักทีว่าเหตุใดหลัวซิวถึงสามารถหลุดพ้นออกมาจากการรุมโจมตีของญาณมรณะระดับราชาเทพจำนวนมากในเขตใจกลางทะเลสาบมรณาได้อย่างง่ายดาย ที่แท้เขาก็มีของขลังที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้นี่เอง
“อย่าพูดมาก รีบไป! ข้ายืนหยัดได้ไม่นาน!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็ผันร่างเป็นแสงกลก่อนแล้ว หนีออกไปไกลภายในพริบตา
“สหายหลัว เจ้าไม่เอาของขลังแล้วหรือ?”
สวีเซิ่งเจี๋ยรีบไล่ตามไป เมื่อเห็นว่าหลัวซิวทิ้งศิลาเทวนั่นไว้กดอัดมือใหญ่อยู่ตรงนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างตะลึง
“ชีวิตสำคัญ หรือสมบัติสำคัญ?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ต้องชีวิตอยู่แล้วสิ!”สวีเซิ่งเจี๋ยตอบกลับอย่างไม่ลังเลใจ “ครั้งนี้สหายหลัวช่วยชีวิตข้าไว้หนหนึ่ง และยังทำให้เจ้าสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปหนึ่งชิ้นด้วย บุญคุณในครั้งนี้ สวีเซิ่งเจี๋ยข้าจดจำไว้ในขั้วหัวใจแล้ว!”
เมื่อเห็นสภาพที่ดูจริงจังนั่นของสวีเซิ่งเจี๋ย หลัวซิวก็รู้สึกตลกมาก ศิลาเทวชิงเทียนไม่ใช่สมบัติล้ำค่าทั่วไป เขาย่อมไม่มีทางทิ้งไว้ตรงนั้นโดยไม่สนใจอยู่แล้ว
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาใช้พลังญาณเทวหล่อเลี้ยงศิลาเทวชิงเทียนอยู่ในตัวหยั่งรู้ทุกวินาที ซึ่งศิลาเทวนั่นถูกเขาประทับเข้าไปในตราประทับของตัวเองตั้งนานแล้ว มาตรแม้นว่าอยู่ห่างกันไกลแสนไกล เขาก็สามารถเอากลับมาได้ตลอดเวลา
แม้นผู้เฝ้าดูแลหุบเขากาลเวลาจะแข็งแกร่งมาก นอกเสียจากฝ่ายตรงข้ามสังหารเขา ตราที่อยู่ในศิลาเทวชิงเทียนถึงจะสลายหายไป มิฉะนั้นขอแค่เขาไม่ตาย ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาศิลาเทวไปได้
ทั้งสองเร่งความเร็วให้ถึงขีดสุด อ้อมพระราชวังทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็หลุดพ้นออกมาจากสถานที่ที่อันตรายอย่างหุบเขากาลเวลานี่สักที
“ตู้มม!”
มีคลื่นพลังที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินระเบิดออกมาจากใจกลางหุบเขากาลเวลา จากนั้นก็มีแสงสีเขียวดวงหนึ่งพุ่งตรงมาด้วยความเร็วที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งไล่ตามหลังมาอย่างไม่หยุดหย่อน นิ้วมือทั้งห้ากางออก เตรียมพร้อมที่จะจับกุมแสงสีเขียวดวงนั้นเอาไว้
“ชัวะ!”
เพียงเสี้ยววินาทีเดียว แสงสีเขียวก็หายเข้าไปในหว่างคิ้วหลัวซิว ถัดจากนั้นมือใหญ่ข้างนั้นก็จุติลงมากะทันหันเช่นกัน กดอัดลงมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น!
การเรียกศิลาเทวชิงเทียนออกมาในเมื่อครู่นี้ทำให้ผลการฝึกตนของหลัวซิวสูญเสียไปเยอะมาก วินาทีนี้เขาไม่มีทางเรียกมันออกมาได้อีกแล้ว
มองดูมือใหญ่กดอัดลงมา ทว่าสีหน้าเขากลับยังคงสุขุมเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย ก่อนจะยกมือโบกครั้งหนึ่ง เตากลั่นนภาจื่อเซียวก็ถูกเขาเรียกออกมา จากนั้นเขาก็กระโดดเข้าไปด้านใน
“สหายสวี หากเจ้ายังไม่รีบเข้ามาละก็ เจ้าได้ตายแน่!”มีเสียงของหลัวซิวสะท้อนออกมาจากเตาเทพ
“นี่สหายหลัว เจ้าแน่ใจหรือว่าเตาเทพนี่ของเจ้าสามารถต้านทานพลังโจมตีของมกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่งได้”
สวีเซิ่งเจี๋ยก็หนีเข้ามาในเตาเทพเช่นกัน แต่กลับถามอย่างไร้ความมั่นใจ