มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2761 สายเลือดตระกูลหง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2761 สายเลือดตระกูลหง
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”
ใบหน้าของเมิ่งเชียนชางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ ตำหนักวัฏสงสารลอยอยู่เหนือศีรษะเขา สั่นเทิ้มจนเสียงดังหึ่ง ๆ หากไม่ใช่เพราะเขาเรียกสมบัติแห่งสังสารวัฏชิ้นนี้ออกมาคุ้มกันในช่วงเวลาสำคัญ ถึงแม้จะไม่ถูกวิชาตราประทับหนึ่งของหลัวซิวฆ่า แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
“นี่คือพลังอมตะอะไรของเจ้า?”สภาพจิตใจของเมิ่งเชียนชางยุ่งเหยิงไปแล้ว
“เหตุใดข้าจึงต้องตอบเจ้าด้วย?”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น หกระเหินเดินฟ้า มือทั้งสองข้างเริ่มประสานอินใหม่อีกครั้ง
สีหน้าของเมิ่งเชียนชางเปลี่ยนไป เขาไม่กล้ารับพลังโจมตีของหลัวซิวเป็นครั้งที่สองแล้ว เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหลัวซิวยังไม่ได้ใช้อัญสมบัติสวรรค์ ตราบใดที่กงล้อวัฏจักรธรรมยังไม่ได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟูกลับคืนมาใหม่ เขาไม่มีสมบัติใด ๆ ที่สามารถต่อกรกับอัญสมบัติสวรรค์ได้
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เมิ่งเชียนชางก็ผันร่างเป็นศุภรแห่งวัฏสงสารหนึ่งดวงกะทันหัน แล้วหายไปจากตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไปภายในพริบตา
ในเส้นทางแห่งวัฏสงสารมีเกณฑ์ปริภูมิแฝงซ่อนอยู่ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเมิ่งเชียนชางรวดเร็วมาก หลัวซิวก็ไม่ได้ไล่ตามไปเช่นกัน ถึงแม้จะไล่ตามทัน เขาก็ไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถสังหารเมิ่งเชียนชางได้
ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชียนชางถูกหลัวซิวโค่นล้มภายในกระบวนท่าเดียว จึงทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างรู้สึกตะลึงงันอย่างควบคุมไม่ได้ ดูเหมือนร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิดมา จะแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มาก!
ผู้แข็งแกร่งลึกลับที่เคยประมือกับหลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากล้นเช่นกัน เขาเคยเห็นหลัวซิวใช้พลังอมตะของตราสรรพสิทธิ์อยู่ ทว่าครั้นเมื่อทั้งสองประมือกัน ตราสรรพสิทธิ์ที่หลัวซิวนั่นปลดปล่อยออกมาไม่ได้ทรงพลังเท่าวินาทีนี้ หรือว่าขณะที่ประมือกับตัวเอง เขาได้ออมแรงไว้?
“พรสวรรค์เป็นหนึ่งไม่เป็นรอง เป็นหนึ่งเดียวตลอดกาล การที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งในยุคหลังให้คำประเมินเช่นนี้ ผู้สูงส่งไท่ซ่างท่านนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ!”
“ไม่แน่ชาตินี้ เขาก็สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างผู้แกร่งเลิศได้เช่นกัน”
“มาตรแม้นว่าเป็นผู้แกร่งเลิศทั้งแปดท่านที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคปัจจุบัน ครั้นเมื่ออยู่ในเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเขาหรอกกระมัง?”
“……”
เหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างรู้สึกตะลึงงัน ส่วนผู้คนที่สังเกตภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกาจ่างจงในตำหนักหลักเมือง มาตรแม้นว่าเป็นผู้สูงส่งโลกร้างสีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย!
“ช่างเป็นวิถีบำเพ็ญปรปักษ์ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ตราสรรพสิทธิ์ช่างเป็นพลังอมตะที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”ฮวงจวินชื่นชมสองประโยคติดต่อกัน ในโลกหล้านี้ ผู้ที่สามารถทำให้เขาประเมินค่าเช่นนี้ได้นั้น สามารถพูดได้เลยว่ามีน้อยมากถึงมากที่สุด
วิชาตราประทับหนึ่งวิวัฒนาการสรรพวิชาออกมา ความลึกลับและมหัศจรรย์ประเภทนี้อยู่เหนือวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสารแล้ว แต่ทว่าการที่จะฝึกวิถียุทธ์ประเภทนี้ให้ถึงจุดสูงสุดนั้น มันกลับยากเกินไป!
ฮวงจวินส่ายหน้า แท้จริงแล้ววิถียุทธ์ที่เขาฝึกก็เป็นทำนองเดียวกันกับวิถีแห่งสวรรค์เช่นกัน เขาตระหนักรู้เกณฑ์เทียนเต้าจำนวนมาก ก็เพื่อหวังว่าสักวันจะสามารถผสมผสานเกณฑ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วบุกเบิกวิถีแห่งสวรรค์ที่ 13 ออกมา แล้วใช้โอกาสนี้บรรลุเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า
อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าการที่เขาจะบรรลุเป็นประมุขเต๋านั้น โอกาสแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่วิถีของหลัวซิวกลับลึกซึ้งแน่นหนากว่าวิถีของเขามาก การที่จะฝึกถึงประมุขเต๋าจึงทำได้ยากขึ้น สามารถพูดได้เลยว่าไม่มีความเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ
“เมิ่งเชียนชาง เจอกันครั้งหน้าหากเจ้ายังไม่มีการพัฒนาใด ๆ อีกละก็ เจ้าต้องได้ตายอยู่ในเงื้อมมือข้าแน่นอน”
หลัวซิวใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลังพลางพูดพึมพำคนเดียว เขาคือเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิ ส่วนเมิ่งเชียนชางคือเทพมารระดับแปดขั้นสูง อีกทั้งยังผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้หนึ่งวง จากพื้นฐานที่ผลการฝึกตนแตกต่างกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขายังสามารถบีบให้เมิ่งเชียนชางเรียกสมบัติแห่งสังสารวัฏออกมาได้ เมิ่งเชียนชางถึงจะสามารถต้านทานพลังโจมตีของตราสรรพสิทธิ์เอาไว้ได้ จึงเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของวิถีไร้ลักษณ์
อดีตเมิ่งเชียนชางอยู่ในแดนราชาเทพระดับเก้า หากปะทะกันโดยตรง หลัวซิวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยด้วยซ้ำ หลังจากผ่านการประมือในครั้งนี้ หลัวซิวจึงมีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม หากเขาก็มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูงเหมือนกัน ต่อให้เมิ่งเชียนชางเรียกสมบัติแห่งสังสารวัฏออกมา ก็ต้านทานพลังอมตะของตราสรรพสิทธิ์ไม่ได้แน่นอน!
“แต่ข้าก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน เมิ่งเชียนชางทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองร่วงหล่นลงมาด้วยตนเอง หากเรื่องราวในหอคอยฮวงสิ้นสุดลง มันก็สามารถบรรลุอีกได้อย่างง่ายดาย ฟื้นฟูกลับคืนสู่แดนราชาเทพระดับเก้า ถึงครานั้นข้าต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน และมันก็ต้องหาโอกาสมาสังหารข้าแน่นอน”
หลัวซิวก็ไม่ได้กังวลใจต่อเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก อนาคตเมื่อเมิ่งเชียนชางฟื้นฟูกลับคืนสู่แดนราชาเทพระดับเก้า ผลการฝึกตนของเขาก็จะมีการพัฒนาเช่นกัน ตกลงผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากันนั้น ก็ต้องดูการประลองในครั้งถัดไปแล้วล่ะ
“สหายหลัววิปริตเช่นนี้เลยหรือ?”ฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนสบตากันครั้งหนึ่ง ต่างมองเห็นความตะลึงจากแววตาของกันและกัน
“ท่านชายแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”ฮู๋ชิงชิงมองแผ่นหลังของหลัวซิวด้วยสายตาที่อ่อนโยน ชาติปางก่อนนางก็มีผลการฝึกตนที่เทียบเท่าผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิในยุคปัจจุบันเช่นกัน เพราะฉะนั้นนางก็มีโลกทัศน์และความรู้ของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งเช่นกัน จึงสามารถดูออกเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าพลังอมตะที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมาในเมื่อครู่นี้ แข็งแกร่งและลึกซึ้งมากเพียงใด
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าวิถีผู้บำเพ็ญปรปักษ์ที่หลัวซิวริเริ่มมีศักยภาพที่แข็งแกร่งมาก ผลสำเร็จในอนาคตไร้ขีดจำกัด อย่างน้อยก็สามารถบรรลุเป็นผู้แกร่งเลิศ!
“ที่แท้ท่านชายก็เป็นผู้บำเพ็ญปรปักษ์เหมือนกัน……”ฮู๋ชิงชิงพูดพึมพำคนเดียว
ในยุคสมัยไท่ชูและวัฏสงสาร วิถีบำเพ็ญปรปักษ์ก็ถูกเรียกว่าวิถีมารเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สวรรค์ไม่อาจรองรับ สามารถพูดได้เลยว่าแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจในโลกร้างก็ตกทอดมาจากกองกำลังบำเพ็ญปรปักษ์ที่เก่าแก่นี่แหละ
ศักยภาพของเมิ่งเชียนชางเป็นที่ประจักษ์ของอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดขั้นสูงผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้หนึ่งวง อีกทั้งสิ่งที่ฝึกยังเป็นเส้นทางแห่งวัฏสงสารด้วย กำลังรบแทบจะสามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้า
แต่ผู้แข็งแกร่งประเภทนี้กลับถูกวิชาตราประทับหนึ่งของหลัวซิวทำให้ตกตะลึงจนถดถอย จึงทำให้ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากล้นทันที
“คนดังกล่าวแข็งแกร่งมากเกินไป จำเป็นต้องทำให้เขาตกรอบก่อน!”คนจำนวนไม่น้อยต่างกำลังพูดในใจ
ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงกระบี่ดวงหนึ่งปรากฏด้านหลังหลัวซิว เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกจักรวาลลงมือจู่โจม ใช้เกณฑ์ปริภูมิอำพรางตัว ลอบสังหารจากด้านหลังโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนอื่น ๆ ลงมืออย่างต่อเนื่อง หอคอยเทวหลังหนึ่งจุติลงมาจากฟ้า เหมือนดั่งเขาเซียน กดอัดลงมาทางหลัวซิว
ถัดจากนั้นก็มีของขลังศัสตราวุธอีกหลายชิ้นครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ พลานุภาพแย้มบาน
“ไสหัวออกไปให้หมด!”
จู่ ๆ เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวก็ดังลั่นขึ้น หลัวซิวยังไม่ได้ลงมือ ทว่าหงบูที่อยู่ข้าง ๆ กลับก้าวเท้าพุ่งตรงมา เห็นเพียงเขาปล่อยหมัดออกมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ก่อนจะทำการโจมตีผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูงคนหนึ่งจนกระอักเลือดแล้วกระเด็นออกไป
ต่อมาร่างกายของหงบูก็สั่นเทิ้มทีหนึ่ง ถึงกับแยกร่างออกเป็นสามร่าง ทุกร่างล้วนมีผลการฝึกตนกำลังรบที่แทบจะไม่ต่างจากร่างดั้งเดิม ทำการต้านทานพลังโจมตีทั้งหมดที่พุ่งไปทางหลัวซิวเอาไว้โดยสิ้นเชิง
“หงบู! เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ถูกโจมตีจนถดถอยรวมตัวเข้าด้วยกัน ล้วนเขม็งมองหงบูด้วยแววตาที่หม่นหมอง
ศักยภาพดั้งเดิมของตัวหงบูก็แข็งแกร่งมาก ๆ อยู่แล้ว แต่เขากลับยังสามารถแยกร่างออกมาได้อีกสองร่าง ซึ่งทุกร่างล้วนมีศักยภาพที่แทบจะไม่ต่างอะไรจากร่างดั้งเดิมเลย พลังอมตะประเภทนี้สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกปวดหัวได้อย่างแน่นอน
และพลังอมตะประเภทนี้ก็คือพรสวรรค์สายเลือดของตระกูลหงนั่นเอง หงบูมีเส้นปราณหวนบรรพ สามารถแยกร่างตนออกมาได้สองร่าง เล่ากันว่าบรรพบุรุษของตระกูลหงสามารถแยกร่างตนออกมาได้แปดร่าง ศักยภาพของร่างผันทุกร่างล้วนใกล้เคียงกับร่างดั้งเดิม ทันทีที่ประมือกับผู้อื่น ก็จะเท่ากับเก้าต่อหนึ่ง สามารถเรียกได้เลยว่าเป็นอุบายที่ไร้เทียมทานมาก
“ไสหัวไป!”
หงบูเบื่อที่จะสนใจคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ กวาดตามองด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง ร่างผันทั้งสองร่างก็กลายเป็นรัศมีเทวบินเข้าไปในร่างกาย ก่อนจะหันสายตาที่รวดเร็วและดุดันไปเพ่งมองหลัวซิว
“หลัวซิว เจ้าแข็งแกร่งมาก ทำให้ข้าอยากประมือกับเจ้าอย่างอดใจรอไม่ไหว ดูว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ!”มีปณิธานรบที่ล้นฟ้าทะลุออกมาจากดวงตาของหงบู
“สหายหงบูหากเจ้าและข้าลงไม้ลงมือกันอย่างยิ่งใหญ่ ผลที่ตามมาคือต้องบาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่ายแน่นอน ไม่แน่ถึงครานั้นเจ้าและข้าก็อาจจะตกรอบเพราะผู้อื่นถือโอกาสพลอยผสมโรงไปด้วย แล้วสูญเสียโอกาสในการได้เข้าไปในหอคอยฮวง”หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางพูดอย่างเรียบนิ่ง
“เจ้าก็พูดถูกเช่นกัน!”หงบูขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาย่อมไม่อยากพลาดโอกาสในการได้เข้าไปในหอคอยฮวงอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากพลาดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างหลัวซิวด้วย
“หากสหายหงบูอยากประมือกับข้า อนาคตต้องมีโอกาสแน่นอน หลังจากสิ้นสุดเรื่องของหอคอยฮวง ข้าก็จะกลับหุบเขาสยบปีศาจ หากเจ้าอยากประลองกับข้า สามารถไปตามหาข้าที่หุบเขาสยบปีศาจได้เลย”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้
“ดี!”
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว แววตาหงบูก็เป็นประกายขึ้นมา เขาเป็นผู้ที่คลั่งการต่อสู้มาตั้งแต่กำเนิด สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการตามหาคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งต่าง ๆ มาขัดเกลาตนเอง
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวและหงบูไม่ได้ต่อสู้กันที่นี่ อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่วนเวียนอยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ต่างพากันแยกย้ายเช่นกัน ทุกคนต่างระแวดระวังซึ่งกันและกัน อย่างไรเสียจากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป จำนวนคนที่อยู่ในโลกาจ่างจงแห่งนี้ก็ยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลง ไม่มีผู้ใดอยากให้ตนตกรอบหรอก
หงบูประสานมือทำท่าคารวะไปทางหลัวซิว ก่อนที่เขาจะจากไป เขาจะไปโค่นล้มคนอื่น ๆ เพื่อจบการแข่งขันในครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ คอยออกมาจากหอคอยฮวงเมื่อไหร่ เขาก็จะไปประลองกับหลัวซิวที่หุบเขาสยบปีศาจ
มีจิตสังหารดวงหนึ่งผนึกอยู่บนตัวหลัวซิว หลัวซิวไม่ต้องหันไปดูก็รู้แล้วว่าคือชีชี นี่จึงทำให้เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สายตาจับจ้องไปทางชีชี “แม้นเจ้าจักมีขิมเก้าบรรเลงอาดูร แต่เจ้า ณ วินาทีนี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า และเจ้าก็สังหารข้าไม่ได้เช่นกัน”
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ข้าไม่เคยทำให้ฉินหยูเวยต้องรู้สึกผิดหวัง การที่นางชอบไท่ซ่างฉิงนั้นเป็นการตัดสินใจของนาง ส่วนการแสวงหาวิถียุทธ์ของไท่ซ่างฉิง ก็เป็นการตัดสินใจของตัวเขาเองเช่นกัน ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตัวเอง หรือว่าเป็นเพียงเพราะไท่ซ่างฉิงเลือกวิถียุทธ์ของตนแล้วมองข้ามความรู้สึกระหว่างหนุ่มสาว ก็ถือเป็นการทำให้นางผิดหวัง?”หลัวซิวพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“อิงจากความหมายที่เจ้ากล่าวมา แสดงว่าอาจารย์ข้ารักข้างเดียวหรือ?”ใบหน้าที่เรียวบางของชีชีเปี่ยมล้นไปด้วยความเยือกเย็นและเย็นชา
“แม้นคำพูดนี้จะไม่ค่อยน่าฟัง แต่ฉินหยูเวยรักข้างเดียวจริง ๆ เพราะสำหรับไท่ซ่างฉิงเมื่อภพชาติก่อนของข้าแล้ว ในใจเขามีเพียงวิถียุทธ์ จุดประสงค์ที่เขาตัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทิ้ง ก็เพื่อแสวงหาจุดสูงสุดของวิถียุทธ์เช่นกัน ไม่ถูกความรู้สึกระหว่างหนุ่มสาวผูกมัด ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่ไท่ซ่างฉิงแสวงหา และข้าก็ไม่รู้สึกว่าเขากระทำผิดอะไร”หลัวซิวตอบกลับ
“ไท่ซ่างฉิง นี่เจ้ากำลังเถียงข้าง ๆ คู ๆ!”ชีชีพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“ไม่ ชีชี เจ้าเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปแล้ว ข้าคือหลัวซิว มิใช่ไท่ซ่างฉิง ไท่ซ่างฉิงคือภพชาติก่อนของข้า ส่วนชาตินี้ ข้าเป็นเพียงหลัวซิว”
หลัวซิวส่ายหน้า ก่อนจะผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่ง หายไปจากนภาที่อยู่ห่างไกลออกไป ฮวงหวูจี๋ หยุนยี่เทียนและฮู๋ชิงชิงก็ต่างพากันบินตามไปเช่นกัน
เพ่งทองทิศทางที่หลัวซิวจากไป มีน้ำตาหนึ่งหยดไหลออกมาจากหางตาชีชี นางดูเหมือนเข้มแข็ง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดทราบความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจนางเลย
นางยังจำได้ว่าครั้นเมื่อตนยังเด็กมาก ๆ อาจารย์ที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยได้รับนางมาเลี้ยงดู
พรสวรรค์ที่นางแสดงออกมาสูงมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลั่นร่าง กลั่นวิญญาณ หรือวิถีค่าย วิถียาและวิถีภัณฑ์ นางล้วนมีความสามารถในการตระหนักรู้ที่สูงมาก ตระหนักรู้ความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ภายในได้ง่ายมาก
กระทั่งต่อมา นางได้ยินผู้ที่มีนามว่าไท่ซ่างฉิง เขาถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นหนึ่งไม่เป็นรอง เป็นบุรุษอันดับหนึ่งตลอดกาล จึงมีความเลื่อมใสศรัทธาเกิดขึ้นมาในจิตใจของสตรีที่ไร้เดียงสาของนางอย่างควบคุมไม่ได้
ทว่าเมื่อนางพูดถึงไท่ซ่างฉิงต่อหน้าอาจารย์ กลับถูกอาจารย์ลงโทษอย่างดุดัน นางถึงจะทราบว่าอาจารย์ตนเคยมีความทรงจำร่วมกับไท่ซ่างฉิงอยู่ช่วงหนึ่ง
อาจารย์บอกว่าไท่ซ่างฉิงย่ำยีความรู้สึกที่ตนมอบให้ เป็นผู้ชายที่ทรยศหัวใจ ไม่คุ้มแก่การให้นางเลื่อมใสศรัทธา
ก่อนอาจารย์จะสิ้นอายุขัย ท่านได้บอกว่าเมื่อข้าตายไปแล้ว หากเจ้าพบร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด ต้องฆ่าผู้ชายที่ทรยศหัวใจนั่นให้ได้!