มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2779 เงาลวงในตัวสำนึก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2779 เงาลวงในตัวสำนึก
แม้ว่าจะมีคนเพิ่มเข้ามาในทีมอีกสี่คน แต่หลัวซิวก็ไม่สนใจเรื่องนี้นัก
ในความเป็นจริงเหตุผลที่ให้พวกมู่หรงหรง เข้าร่วม ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกหลัวซิวทั้งสามคนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมิติสมรภูมิกู่ไท่หรือหุบเขามังกรไฟก็รู้พียงผิวเผินเท่านั้น ม้วนหยกบันทึกและแผนที่ที่ขายในตำหนักกิ่งโยงพลัง ก็อธิบายเพียงเรื่องคร่าว ๆ เท่านั้น
แต่พวกมู่หรงหรง อาศัยอยู่ในมิติสมรภูมิกู่ไท่มานานหลายปี ดังนั้นจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่นี้ดีกว่า นี่คือจุดประสงค์หลักของหลัวซิวและฮู๋ชิงชิงที่ให้พวกเขาเข้าร่วม
หลัวซิวไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีของเปลวเพลิงมังกรที่แผ่ซ่านในหุบเขา ด้วยความแข็งแกร่งของฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิง สามารถป้องกันได้อย่างง่ายดายโดยไม่เล็ดน้อยใด ๆ
ขณะที่ทุกคนเข้าไปข้างในหุบเขามังกรไฟลึก ๆ หลัวซิวก็ถามมู่หรงหรงเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างของมิติสมรภูมิกู่ไท่
“แม่นางหรงหรง เจ้าเคยพบคน ๆ นี้หรือไม่?” หลัวซิวถามพร้อมใช้พลังวาดภาพเหมือนของลู่เมิ่งเหยาออกมา
มู่หรงหรงส่ายหัว “ข้าขอโทษ ข้าไม่เคยเห็นคน ๆ นี้มาก่อน มิติสมรภูมิกู่ไท่นั้นกว้างใหญ่นัก การตามหาใครสักคนที่นี่ก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร”
สำหรับผลลัพธ์นี้ หลัวซิวก็เตรียมใจไว้แล้วเช่นกัน โบกมือปัดภาพเหมือนให้หายไป จากนั้นเปลี่ยนคำถามกลับไปที่มิติสมรภูมิกู่ไท่ “ไม่ทราบว่าแม่นางหรงหรงรู้เรื่องมิติสมรภูมิกู่ไท่และหุบเขามังกรไฟมากแค่ไหน?”
มู่หรงหรงให้เกียรติคำถามของหลัวซิวอย่างมากและตอบว่า “มีข่าวลืออยู่เสมอในมิติสมรภูมิกู่ไท่ว่าหุบเขามังกรไฟเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิเทพของเผ่าพันธุ์มังกรแท้เสียชีวิต หลังจากที่จักรพรรดิเทพมังกรแท้เสียชีวิต ผลการฝึกตนทั้งหมดของเขาได้กลายเป็นเกณฑ์มังกรไฟ มารวมกันอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ จึงได้ชื่อว่าหุบเขามังกรไฟ”
“เพราะเกณฑ์มังกรไฟรวมตัวกันที่นี่ตลอดหลายปี หลังจากกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในหุบเขามังกรไฟได้เกิดสมบัติออกมามากมาย เช่นจิตภูตอัคคีเทพมังกรแท้ และไข่มุกมังกรไฟ ไข่มุกมังกรไฟเป็นสิ่งดีที่สามารถใช้เพื่อทำความเข้าใจเกณฑ์มังกรไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มังกรที่ฝึกฝนวิถีเพลิงอัคคีนั้นเป็นสมบัติที่ทุกคนอยากได้อย่างแน่นอน”
ความเข้าใจของ มู่หรงหรงเกี่ยวกับ หุบเขามังกรไฟนั้นมีความครอบคลุมมากกว่าม้วนหยกที่หลัวซิวซื้อจากตำหนักกิ่งโยงพลังมาก
ตามที่นางพูด ส่วนที่ลึกที่สุดของ หุบเขามังกรไฟนั้นเต็มไปด้วยเกณฑ์มังกรไฟระดับจักรพรรดิเทพ อาจกล่าวได้ว่าสถานที่นี้ในมิติสมรภูมิกู่ไท่ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักยุทธ์ผู้ฝึกฝนธาตุไฟ
ในขณะที่ทุกคนยังคงเดินลึกเข้าไป พวกเขาพบวัสดุธาตุไฟที่มีค่ามากมายและสมบัติระหว่างทาง อาจเป็นเพราะหลัวซิวสามารถปราบปรามภูตอัคคีเทพมังกรแท้ตัวหนึ่งได้อย่างง่ายดาย และดวงจิตอัคคีเทพอื่นๆ ที่หลบซ่อนอยู่ในหุบเขามังกรไฟไม่ปรากฏตัวอีกเลย
เมื่อพวกเขามาถึงส่วนลึกของ หุบเขามังกรไฟ เกณฑ์มังกรไฟที่แพร่หลายที่นี่ได้ไปถึงระดับราชาเทพ แม้จะได้รับการปกป้องจากหอคอยเทพอสูรฟ้า แต่ยังมีออร่าพลังเต๋าของเกณฑ์มังกรไฟที่แทรกซึมเล็ดลอดเข้ามาผ่านการป้องกันของหอคอยเทพ ทำให้พวก มู่หรงหรงรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขากำลังจะละลายด้วยความร้อน
“ผู้อาวุโส พวกเราถึงขีดจำกัดแล้ว” มู่หรงหรงพูดอย่างรวดเร็ว มองไปข้างหน้าด้วยความหวาดกลัว นางรู้ดีว่าหากนางเดินหน้าต่อไป นางและพรรคพวกของนางอาจจะตายอยู่ที่นี่
การเดินทางครั้งนี้มาถึงที่นี่ ทั้งสี่คนได้รับประโยชน์มามากมาย วัตถุดิบธาตุไฟและสมบัติที่พวกเขาพบระหว่างทางนั้นพวกหลัวซิวไม่อยากได้จึงมอบให้พวกเขาทั้งหมด
ไม่เพียงแต่พวกมู่หรงหรง ฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิงก็รู้สึกกดดันเช่นกัน เพราะความแข็งแกร่งผลการฝึกตนของพวกนางไม่เท่าหลัวซิว ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับเทพมาระดับเก้าช่วงปลายและประมาณขั้นสูงสุด ต้านทานเกณฑ์มังกรไฟระดับราชาเทพนั้นลำบากนัก
“พวกเจ้าหยุดอยู่ที่บริเวณนี้ ข้าจะเข้าไปดู” หลัวซิวกล่าว
“ท่านชายระวังตัวด้วย” ฮู๋ชิงชิงกล่าว
หลัวซิวพยักหน้าแล้วก้าวออกจากการป้องกันของหอคอยเทพอสูรฟ้าทันที ร่างเขาสั่นไหวหายตัวไปในเปลวไฟที่โหมกระหน่ำไปทั่ว
ร่างเนื้อของหลัวซิวถึงร่างเนื้อราชาเทพระดับเก้าแล้ว การแผดเผาของเกณฑ์มังกรไฟไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้ แต่ภายใต้เปลวไฟที่แผดเผา เขาสามารถใช้กำลังภายนอกเพื่อชุบร่างเนื้อ
ร่างเนื้อของเขาเปรียบเสมือนอาวุธเทพ การแผดเผาของไฟเป็นวิธีการหนึ่งในกลั่นอาวุธเทพ
ยิ่งลึกลงไป เกณฑ์มังกรไฟก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น ในตอนแรก ปราณเปลวไฟที่แผดเผามุ่งเป้าไปที่ร่างเนื้อเท่านั้น แต่ต่อมา ปราณเปลวไฟที่แผดเผาแทรกซึมเข้าไปในตัวหยั่งรู้
“กรร!”
ทันใดนั้น เสียงร้องของมังกรก็ดังก้อง เสียงมังกรร้องไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่เสียงร้องดังล้นหลาม ภูตอัคคีเทพมังกรแท้ที่ดุร้ายหลายตัวปรากฏตัวขึ้น ปรากฏตัวขึ้นมาถึงหลายร้อยตัวพร้อมกัน!
ภูตอัคคีเทพมังกรแท้หลายร้อยตัวเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งเทพมาระดับเก้านับร้อย นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมที่นี่ทำให้ภูตอัคคีเทพมังกรแท้รู้สึกเหมือนปลาได้น้ำ แม้ความแข็งแกร่งของหลัวซิวจะเทียบได้กับราชาเทพระดับเก้า หนังศีรษะเขาก็ชาเล็กน้อย
“โครม!..”
การต่อสู้ที่ดุเดือดเริ่มขึ้น และก่อหน้านี้ตลอดทางที่เข้ามา ภูตอัคคีเทพมังกรแท้ซึ่งไม่เคยกล้าปรากฏตัวต่อหน้าเขามาก่อน ในขณะนี้ ดูเหมือนจะบ้าคลั่งขึ้นมา โจมตีหลัวซิวแบบไม่กลัวตายอย่างต่อเนื่อง
เสียงดังกึกก้องดังมาจากส่วนลึกของ หุบเขามังกรไฟ ทำให้ ฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิงซึ่งอยู่ในพื้นที่นอกของส่วนลึกต่างแสดงสีหน้ากังวลออกมา
เห็นได้ชัดว่าเสียงดังกึกก้องนี้ต้องเกิดจากหลัวซิว ซึ่งหมายความว่าเขาอาจประสบปัญหาอยู่ในส่วนลึกของหุบเขามังกรไฟ
การต่อสู้นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง หุบเขามังกรไฟก็กลับมาสงบอีกครั้ง เตาเซียนลอยอยู่เหนือหัวหลัวซิว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ แม้ว่าพลังการต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ถูกล้อมรอบด้วยภูตอัคคีเทพมังกรแท้หลายร้อยตัว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ได้รับบาดเจ็บ
ขณะนี้ ในเตาเซียนของเขา ภูตอัคคีเทพมังกรแท้หลายร้อยตัวถูกผนึกไว้ภายใน เขากระตุ้นใช้เตาเซียน เกณฑ์มังกรไฟที่มีอยู่ในภูตอัคคีเทพมังกรแท้ได้รับการกลั่นแปร จากนั้นหลัวซิวก็ซึมซับจากเตาเซียน เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างเทวเทพของตน
หลัวซิวเลือกที่จะมาที่ หุบเขามังกรไฟเพื่อจุดประสงค์ในการฝึกฝนตนเอง ดังนั้นในไม่ช้าเขาจึงหลงอยู่กับการฝึกฝน วิถีไร้ลักษณ์สามารถการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิทธิ์และยังสามารถบรรจุสรรพสิทธิ์ได้ทุกประเภท ดังนั้นพลังของเกณฑ์มังกรไฟที่นี่ เขายังสามารถดูดซับกลั่นแปรเพื่อเพิ่มผลการฝึกฝนของตน
ภูตอัคคีเทพมังกรแท้หลายร้อยตัวได้รับการกลั่นแปร จะเทียบเท่ากับการกลั่นแปรผลการฝึกตนของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าจำนวนหลายร้อยคนเข้าสู่ร่างตนเอง พลังนี้อาจกล่าวได้ว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
แต่เมื่อเขากลั่นแปรอย่างเต็มที่แล้ว รอยยิ้มจนปัญญาก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะพลังที่ทรงพลังเช่นนี้เพียงแค่สามารถทำให้ร่างเทวเทพของเขาจากร่างราชาเทพระดับเก้าช่วงปลาย ก้าวถึงร่างราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงสุดเท่านั้นเอง
สำหรับระดับผลการฝึกฝนของเขานั้นเพิ่มขึ้นน้อยมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันยากเพียงใดที่จะเพิ่มระดับผลการฝึกฝนถึงระดับปัจจุบันนี้ อยากจะบรรลุแดนหนึ่งนั้นยากลำบากมาก
เขายังคงเดินไปข้างหน้าและรู้สึกว่าออร่าเปลวเพลิงมังกรที่อยู่ข้างหน้าเขาน่ากลัวยิ่งขึ้น ถึงขั้นของเกณฑ์ระดับมกุฎเทพ
ราชาเทพระดับเก้าและมกุฎเทพ ดูเหมือนจะเป็นเพียงแดนเดียวที่ห่างกัน แต่ในความเป็นจริงความแตกต่างนั้นห่างกันไกลมากนัก พูดได้โดยไม่ลังเลเลยว่าเหมือนกับความแตกต่างระหว่างมดกับช้าง ซึ่งห่างกันไกลมากกว่าช่องว่างระหว่างราชาเทพระดับเก้าและเทพมาระดับเก้านั้น
เพราะแดนยุทธ์ยิ่งไปถึงไกลมากเท่าไหร่ ช่องว่างระหว่างแต่ละแดนก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่ามองว่าแม้ร่างเทวเทพในปัจจุบันของเขาจะถึงร่างราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงสุดแล้ว หากเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นมกุฎเทพระดับเก้าก็ยากที่จะต้านทานหนึ่งกระบวนท่าของอีกฝ่าย
หลัวซิวไม่ได้เดินลึกเข้าไปต่อ เขาใช้เวลามากในการกลั่นแปรภูตอัคคีเทพมังกรแท้หลายร้อยตัว ฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิงยังคงรอเขาอยู่ข้างนอก
เมื่อหลัวซิวออกมาจากส่วนลึกของหุบเขามังกรไฟ ฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิงอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน เพราะพวกนางรู้สึกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของหลัวซิว แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
พวกมู่หรงหรงทั้งสี่คนไม่ได้จากไป ระยะเวลาที่หลัวซิวจากไป นางได้พูดคุยกับฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิงมากมายเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวนางเอง
มู่หรงหรงเกิดในโลกสวรรค์จากสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง ชื่อ สำนักเจิ้นหลัวเทียนและมีชื่อเสียงด้านเชี่ยวชาญวิถีค่ายกล
และตัวตนของ มู่หรงหรงคือลูกสาวของเจ้าอาจารย์สำนักเจิ้นหลัวเทียน!
สามารถเรียกได้ว่าเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ในโลกสวรรค์ อย่างน้อยก็มีผู้แข็งแกร่งขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้าปกป้องอยู่ ด้วยสถานะของ มู่หรงหรง ตามหลักแล้วนางสามารถได้รับทรัพยากรและสภาพแวดล้อมในการฝึกฝนที่เหนือกว่ามาก เหตุใดถึงมาสถานที่อันตรายเช่น มิติสมรภูมิกู่ไท่เพื่อแสวงหาโอกาสและความโชคดีล่ะ?
เกี่ยวกับคำถามนี้ มู่หรงหรงไม่ได้อธิบายอะไร ฮู๋ชิงชิงกับหนิงหานหลิงไม่ได้ถามเมื่อเห็นนางดูเศร้าเล็กน้อย เพราะทุกคนมีความลับของตัวเอง ที่สำคัญมีสภาพแวดล้อมที่ดีในการฝึกฝนในสำนักผลที่ได้รับไม่ดีเท่าการฝึกฝนที่มีความอันตรายถึงชีวิตและเข้าใกล้ความตายอยู่ข้างนอก
“เราไปกันเถอะ” หลัวซิวและพรรคพวกกลับไปทางเดิม ระหว่างการกลับไปก็เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่พวกเขาออกมาจากหุบเขามังกรไฟ พวกเขาก็แยกทางกัน
“อืม?”
ทันใดนั้น หลัวซิวรู้สึกถึงบางอย่าง เขามองไปที่ทางเข้าของ หุบเขามังกรไฟที่อยู่ข้างหลัง เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านชาย มีอะไรรึ??” ทั้งฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิงถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร…” หลัวซิวส่ายหัวและคิดในใจ “หรือว่าข้าตาฝาด?”
เมื่อครู่นี้ ตัวสำนึกของเขาสัมผัสได้ถึงเงามัวหนึ่งที่คลุมเครือซึ่งบินวาบเข้าไปใน หุบเขามังกรไฟในชั่วพริบตา เพราะผ่านวาบไปในทันที ดังนั้นทำให้เขาสงสัยว่าเกิดภาพลวงตา
แต่หลัวซิวไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาไม่ได้คิดว่าเขาตาฝาด เพราะเขารู้ดีว่าตัวสำนึกของเขาค่อนข้างพิเศษ ได้รับพรจากพลังแห่งญาณเทว การรับรู้และการสังเกตของเขาเฉียบแหลมมาก
ด้วยพรจากพลังแห่งญาณเทวของเขา เขายังไม่สามารถจับร่องรอยที่ชัดเจนได้ ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้จะมีคนเข้าไปในหุบเขามังกรไฟจริงๆ ก็ต้องเป็นคนที่เขาไม่สามารถยั่วยุได้!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ม่านตาหลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะหดลง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลง
“เราไปกันเถอะ ออกไปจากที่นี่โดยเร็ว!” เขาเร่งฮู๋ชิงชิงและหนิงหานหลิงให้ออกไปจากที่นี่โดยเร็วโดยไม่อธิบายอะไร
ในขณะนี้ ในหุบเขามังกรไฟ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเพลิงกำลังเดินอยู่ในเปลวไฟ
ผมของชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นสีแดงเพลิง ผมยาวสีแดงเพลิงปล่อยลงมา บวกกับใบหน้าสวยดูชั่วร้ายเล็กน้อยนั้น เขาดูแปลกอย่างขนลุก
“พ่อหนุ่มคนหนึ่งที่น่าสนใจ” เขายื่นมือออกไปเสยผมที่ยาวสลวยเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาร้ายกาจ ระหว่างคิ้วมีรอยเปลวไฟ ราวกับมีออร่าที่น่าสะพรึงกลัวที่จะทำลายล้างโลก
ปฏิกิริยาเมื่อครู่นี้ของหลัวซิวนอกหุบเขามังกรไฟอยู่ในการรับรู้ของชายหนุ่มที่สวมชุดสีแดงเพลิงคนนี้ทั้งหมด แต่เขาไม่ได้สนใจมากนัก อย่าพูดถึงรุ่นเยาว์เทพมารระดับแปดคนหนึ่งที่ความแข็งแกร่งเทียบได้กับราชาเทพระดับเก้า ถึงแม้จะเทียบได้กับจักรพรรดิเทพระดับเก้าหรือมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ในสายตาของเขาก็เหมือนกับมดตัวเล็กๆเท่านั้น
แน่นอน ถ้าต้องการมองผู้แข็งแกร่งในโลกอย่างมดตัวเล็กๆ ก่อนอื่นเขาต้องฟื้นฟูผลการฝึกตนที่สูญเสียไปจากการหลับใหลมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
“เผ่าพันธุ์มังกรที่สืบทอดลงมาจากเผ่ากลืนจิตรึ? เกณฑ์มังกรไฟนี้ค่อนข้างน่าทึ่ง กลั่นแปรออร่าดั้งเดิมของที่นี่ อาจจะช่วยให้ผลการฝึกตนของข้าฟื้นฟูได้เล็กน้อยบ้างนะ?”
ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีเพลิงค่อยๆ เดินจากไปไกล ในไม่ช้าก็หายไปในส่วนลึกของหุบเขามังกรไฟ กระทั่งข้ามผ่านบริเวณที่เปลวไฟขั้นมกุฎเทพระดับเก้ากระจายอยู่