มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2787 วิญญาณอมตะ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2787 วิญญาณอมตะ
เพื่อแข่งประมูลหินสลักตรีภพ ทำให้หลัวซิวสูญเสียกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมไปหกล้านก้อน กรองแก้วโลหิตดั้งเดิมที่เหลืออยู่ในแหวนเก็บของมีไม่มากแล้ว ซึ่งเหลือเพียงสี่ล้านกว่าก้อน
บางทีกรองแก้วโลหิตเหล่านี้อาจจะไม่สามารถซื้อกรองแก้วจิตนภาได้ ทว่าหลัวซิวก็ไม่มีทางปล่อยให้สมบัติที่ใช้ชุบตัวสำนึก อีกทั้งยังสามารถยกระดับตัวสำนึกหลุดมือไปง่าย ๆ หรอกนะ
ตอนแรกเริ่มหลัวซิวไม่ได้แข่งประมูล แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือราคาของกรองแก้วจิตนภาพุ่งสูงขึ้นไม่เร็วเท่าไหร่นัก ราคาเพิ่มขึ้นถึงกรองแก้วโลหิตสองล้านกว่าก้อนเท่านั้น แนวโน้มที่ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็หยุดลง
“กรองแก้วจิตนภาถูกขนาดนี้เลยหรือ?”
สำหรับราคานี้ ตัวหลัวซิวเองก็รู้สึกงุนงงไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน แต่เขาก็ตอบสนองกลับมาได้อย่างรวดเร็วมาก ไม่ใช่มูลค่าของกรองแก้วจิตนภาไม่สูง แต่ต้องดูก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายคือคนประเภทใด
ในดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ สิ่งที่ได้มายากมากที่สุดก็คือวรยุทธ์กลั่นวิญญาณและวรยุทธ์กลั่นร่าง ส่วนวรยุทธ์กลั่นวิญญาณกลับฝึกยากกว่าวรยุทธ์กลั่นร่างมาก
ตัวสำนึกของจอมยุทธ์ส่วนมากล้วนยกระดับตามผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ ตัวสำนึกของเขาก็อยู่ในแดนเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิเช่นกัน
สำหรับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญวรยุทธ์และพลังอมตะกลั่นวิญญาณแล้ว ต่อให้ตัวสำนึกจะเพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งแดนเล็ก ศักยภาพของตัวเราที่เพิ่มขึ้นก็จะไม่ชัดเจนเช่นกัน
แต่ถ้าเกิดเป็นจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญวิถีกลั่นวิญญาณ อีกทั้งฝึกวิญญาณอมตะละก็ เช่นนั้นก็จะแตกต่างกันแล้วล่ะ เพราะจอมยุทธ์กลั่นวิญญาณมีตัวสำนึกที่แข็งแกร่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งแดนเล็ก ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นก็จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนมาก
อันที่จริงถึงแม้หลัวซิวจะมีเคล็ดเซียนชั้นยอดอย่างเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ แต่เขากลับยึดกุมวิญญาณอมตะบนวิถีกลั่นวิญญาณไม่มากเท่าไหร่
สาเหตุที่เขาคิดหาทุกวิถีทางเพื่อจะยกระดับตัวสำนึกของตัวเองนั้น แท้จริงแล้วก็ทำเพื่อให้เกราะป้องกันในตัวหยั่งรู้ของตัวเองแข็งแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มาตรแม้นว่าประสบพบเจอกับผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญวิญญาณอมตะ เขาก็ไม่ถึงขั้นตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบจนตอบโต้อะไรไม่ได้
อย่างไรเสียพละกำลังของคนคนหนึ่งก็มีจำกัด แม้นวิถีไร้ลักษณ์จะมีข้อได้เปรียบในด้านการอนุมาน ตัวหลัวซิวก็ไม่สามารถเพ็ญตนพร้อมกันได้หลาย ๆ ด้าน ไม่มีทางเก่งรอบด้าน
ปัจจุบันเขานำพละกำลังจิตใจเพ่งเล็งไปที่การปรับให้วิถีไร้ลักษณ์สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเรื่องการยกระดับผลการฝึกตนของตัวเอง ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่มีเวลาไปฝึกด้านวิญญาณอมตะโดยเฉพาะเลย
แต่การปรากฏของกรองแก้วจิตนภากลับเป็นการย้ำเตือนหลัวซิว วิถีไร้ลักษณ์รองรับได้ทุกอย่าง วิวัฒนาการทุกสรรพสิ่ง บางทีเขาก็ควรพึ่งพิงวิถีไร้ลักษณ์ แล้วอนุมานริเริ่มวิญญาณอมตะวิชาหนึ่งได้แล้ว
กรองแก้วจิตนภาถูกหลัวซิวซื้อไปด้วยกรองแก้วโลหิตสามล้านก้อน เขาแทบจะใช้จ่ายกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมเกือบสิบล้านก้อนในทีเดียว จึงทำให้ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนที่นั่งอยู่ข้างกายเขามองดูจนอึ้งทึ่งไปเลย
“ข้าว่านะสหายหลัว นี่เจ้าทำเรื่องโหดเหี้ยมทารุณไร้ซึ่งมนุษยธรรมมาหรือเนี่ย? เจ้าไปเอากรองแก้วโลหิตที่มากมายเช่นนี้มาจากที่ใด?”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะถาม
แม้นเขาจะกำเนิดจากตระกูลลิ่งฮู๋ แต่จำนวนกรองแก้วโลหิตที่มีติดตัวก็มีไม่ถึงสิบล้านก้อน อย่างไรเสียกรองแก้วโลหิตก็เป็นทรัพยากรที่มีระดับสูงที่สุดในหินแก้วดั้งเดิม ซึ่งเป็นรองเพียงหินบรรพไท่ชูเท่านั้น
มาตรแม้นว่าราชาเทพระดับเก้าส่วนมากจะได้รับกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมมาเป็นจำนวนมาก ก็ไม่มีทางใช้จ่ายง่ายดายเช่นนี้ เนื่องจากหากพวกเขาต้องการยกระดับผลการฝึกตนของตนเอง ก็จำเป็นต้องมีทรัพยากรเช่นกัน ซึ่งไม่มีทางนำทรัพยากรทั้งหมดไปซื้อสมบัติได้แน่นอน
“ข้าใช้หินบรรพไท่ชูแลกมาน่ะ”หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางตอบกลับ
“หินบรรพไท่ชู?”เมื่อลิ่งฮู๋จื่อเซวียนได้ยินคำตอบนี้ ก็ยิ่งซี๊ดปากอย่างควบคุมไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด นี่เจ้าไม่ทราบมูลค่าที่แท้จริงของหินบรรพไท่ชูจริง ๆ หรือ?”
ก็ไม่แปลกหรอกที่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนจะตื่นเต้นขนาดนี้ อย่างไรเสียทรัพยากรอย่างหินบรรพไท่ชูเป็นสิ่งที่มีน้อยและหายากมาก ๆ จอมยุทธ์ที่มีโอกาสบรรลุสู่แดนผู้สูงส่งในอนาคต ขอแค่ได้รับหินบรรพไท่ชูมา ต่างก็จะเก็บสะสมเอาไว้กันทั้งนั้น เพื่อที่ว่าอนาคตหลังจากตนบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าแล้ว จะได้นำมันมาใช้เพื่อบรรลุสู่แดนผู้สูงส่ง
ต่อให้อยู่ในแดนก่อนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ชี่บรรพไท่ชูที่แฝงซ่อนอยู่ในหินบรรพไท่ชูก็เป็นพลังที่มีระดับขั้นสูงมาก เมื่อการยกระดับของจอมยุทธ์ประสบพบเจอกับพันธนาการจุดตีบตัน หากสามารถดูดซับชี่บรรพไท่ชูมาฝึกตน อัตราการบรรลุสำเร็จก็จะเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีคนนำหินบรรพไท่ชูไปแลกกับกรองแก้วโลหิต เนื่องจากทั้งสองสิ่งนี้ไม่ใช้ทรัพยากรที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยซ้ำ อยู่คนละระดับกันโดยสิ้นเชิงเลย
ยกตัวอย่างเช่นการใช้หินบรรพไท่ชูไปแลกกับกรองแก้วโลหิตนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากการนำทองไปแลกกับเศษเหล็ก
“ในเมื่อเจ้าทราบความเป็นมาของข้า เจ้ายังต้องมาบอกหลักการเหล่านี้กับข้าอยู่อีกหรือ?”หลัวซิวยังคงยิ้มอ่อนอยู่เช่นเคย “เจ้าทราบหรือไม่ว่าจากมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าบรรลุสู่แดนผู้สูงส่งนั้น ต้องใช้หินบรรพไท่ชูมากเท่าไหร่? หากเป็นเจ้าละก็ ใช้ประมาณหลักร้อยก้อนก็น่าจะบรรลุได้แล้ว ทว่าหากเปลี่ยนเป็นข้าละก็ แม้นหลักหมื่นก้อนก็ใช่ว่าจะเพียงพอเสมอไป หินบรรพไท่ชูก้อนหนึ่งไม่มีประโยชน์อะไรต่อข้า ดังนั้นการนำไปแลกกับกรองแก้วโลหิตดั้งเดิม แล้วซื้อทรัพยากรสมบัติที่เหมาะสมกับแดน ณ ปัจจุบันของข้า ถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดต่างหาก”
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็เบ้ปาก เขารู้สึกว่าที่หลัวซิวพูดมาก็มีเหตุผลเหมือนกัน จนถึงขั้นตอบโต้อะไรไม่ได้
สหการค้ายังคงดำเนินการต่อไปเรื่อย ๆ มีสมบัติอีกมากมายปรากฏอย่างต่อเนื่อง หลัวซิวก็นั่งนิ่งเฉยมาโดยตลอดเช่นกัน ส่วนลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็ประมูลไปหลายครั้งอยู่
หลังจากสหการค้าดำเนินการไปได้ครึ่งทาง ก็มีผู้อาวุโสที่อยู่ในชุดคลุมยาวขาวคนหนึ่งปรากฏบนเวทีหินทรงกลม บนใบหน้าเขามีแสงสีขาวที่ขมุกขมัวเป็นประกาย ทำให้ผู้คนมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัด ตัวสำนึกก็ไม่สามารถสัมผัสพลังออร่าของเขาได้เช่นกัน
“สิ่งที่ข้าจะนำมาค้าขายคือพลังอมตะวิชาหนึ่ง……”
เสียงของผู้อาวุโสชุดคลุมยาวขาวต่ำทุ้มแหบแห้ง ให้ความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เมื่อหลัวซิวได้ยินว่าคือพลังอมตะวิชาหนึ่ง เขาก็หมดอารมณ์ทันที เนื่องจากตัวเขาเองได้ริเริ่มพลังอมตะหลายประเภทที่มีพลานุภาพไร้ขอบเขต จึงไม่จำเป็นต้องตระหนักรู้พลังอมตะอื่น ๆ ด้วยซ้ำ นอกเสียจากเป็นพลังอมตะระดับประมุขเต๋า บางทีเขาอาจจะสามารถเรียนรู้อะไรจากภายในได้บ้าง
“พลังอมตะดังกล่าวของข้ามิใช่พลังอมตะทั่วไป แต่เป็นวิญญาณอมตะ”
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวขาวไม่ได้พูดให้จบในประโยคเดียวแต่อย่างใด เมื่อเขาพูดคำว่าวิญญาณอมตะออกมา ก็มีเสียงจ๊อกแจ๊กดังขึ้นมาในงานทันที
“โอ๊ะ?”
เมื่อได้ยินว่าเป็นวิญญาณอมตะ หลัวซิวก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่นัก วิญญาณอมตะที่สามารถทำให้เขารู้สึกสนใจได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องอยู่ระดับผู้สูงส่ง
“วิญญาณอมตะดังกล่าวของข้าเป็นสิ่งที่ผู้สูงส่งญาณแท้ทิ้งไว้ แม้นจักขาดตกบกพร่อง แต่คาดว่าผู้เพื่อนยุทธ์ทุกท่านที่เคยได้ยินชื่อเสียงของผู้สูงส่งญาณแท้ก็น่าจะทราบกันดีว่าวิญญาณอมตะที่ผู้สูงส่งญาณแท้ริเริ่มนั้น ต่อให้ท่านไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกวิถีกลั่นวิญญาณโดยเฉพาะ ก็สามารถฝึกมันได้เช่นกัน อีกทั้งสามารถปลดปล่อยพลานุภาพที่ทรงพลังอย่างยิ่งออกมาได้ด้วย”
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวขาวปลุกปั่นบรรยากาศเก่งมาก บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูมั่นใจพลางพูด: “ยกตัวอย่างเช่นแม้นจักอยู่ในแดนราชาเทพระดับเก้าเหมือนกัน ขณะที่ต่อสู้หากท่านปลดปล่อยพลังอมตะนี้ออกมากะทันหัน ต้องสามารถทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวรับไม่ทันแน่นอน ณ เสี้ยววินาทีที่ฝ่ายตรงข้ามสติหลุดไร้การป้องกันเพราะวิญญาณอมตะ ท่านก็จะได้รับโอกาสก่อน ไม่แน่อาจสามารถสังหารคู่ต่อสู้ภายในกระบวนท่าเดียวได้ด้วย!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงผู้อาวุโสชุดคลุมยาวขาว ราคาหนึ่งก็ปรากฏบนหน้าจอเงาสะท้อนค่ายกล ซึ่งเป็นกรองแก้วโลหิตหกล้านก้อน!
หากเป็นพลังอมตะระดับผู้สูงส่งที่สมบูรณ์แบบ ย่อมไม่มีทางประมูลได้ด้วยกรองแก้วโลหิตอยู่แล้ว ซึ่งต้องใช้หินบรรพไท่ชูเท่านั้น
แต่พลังอมตะดังกล่าวของผู้อาวุโสชุดคลุมยาวขาวกลับขาดตกบกพร่อง มูลค่าของมันจึงลดหายไปเยอะมาก ด้วยเหตุนี้จึงสามารถใช้กรองแก้วโลหิตมาประมูล
ผู้ประมูลคือชายที่สวมใส่หน้ากากเหล็กสีดำ หลัวซิวมองเพียงแวบเดียว จิตใจก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที บนตัวฝ่ายตรงข้ามมีเกณฑ์พลังเต๋าที่ทรงพลังมากไหลเวียนอยู่ ซึ่งต้องเป็นราชาเทพระดับเก้าที่มีศักยภาพแข็งแกร่งคนหนึ่งแน่นอน
แม้นจักอยู่ในแดนเดียวกัน ระยะความต่างของศักยภาพก็แตกต่างกันมาก ๆ ยิ่งกว่านั้นคือแม้นจักอยู่ในแดนเดียวกัน บางคนสามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่อยู่ในแดนเดียวกันได้ภายในเสี้ยววินาทีเลย
กำลังรบของหลัวซิวเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้า แต่ถ้าเกิดได้ปะทะกับผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าเป็นต้นไปที่แข็งแกร่งมาก ๆ ใช่ว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้เสมอไป
เนื่องจากการที่สามารถบรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้าแล้วยังสามารถดูแคลนผู้ที่อยู่ในแดนเดียวกันได้นั้น แสดงว่าอดีตพวกเขาก็ล้วนเป็นอัจฉริยะที่เคยข้ามขั้นประลองกับผู้ที่อยู่เหนือกว่า อนาคตก็สามารถฝึกตนถึงแดนที่สูงกว่าได้เช่นกัน ศักยภาพสูงส่ง
หลัวซิวก็เคยได้ยินชื่อผู้สูงส่งญาณแท้มาก่อนเช่นกัน แม้นจะไม่ได้บรรลุถึงระดับของผู้แกร่งเลิศ แต่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เล่ากันว่าครั้นเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ศักยภาพอุบายของเขานั้นทรงพลังมาก ซึ่งเป็นรองเพียงผู้แกร่งเลิศ
หลัวซิววางแผนที่จะริเริ่มวิญญาณอมตะ จึงจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้จากพลังอมตะประเภทเดียวกัน วิญญาณอมตะระดับประมุขเต๋าหายากเกินไป วิญญาณอมตะระดับผู้สูงส่งวิชาหนึ่งก็เป็นตัวเลือกการศึกษาเรียนรู้ที่ไม่เลวเช่นกัน
ในส่วนของเรื่องที่ว่าพลังอมตะดังกล่าวขาดตกบกพร่องหรือไม่นั้น ถูกหลัวซิวมองข้ามโดยสิ้นเชิงเลย เนื่องจากเขาไม่มีความคิดที่จะฝึกพลังอมตะนี้เลยด้วยซ้ำ แต่จะนำมันมาศึกษาเรียนรู้เท่านั้น มิหนำซ้ำเมื่ออาศัยความสามารถในการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ หลัวซิวยิ่งมั่นใจว่าตนสามารถปรับปรุงเพิ่มเสริมให้ส่วนที่ขาดตกบกพร่องกลับมาสมบูรณ์เหมือนเก่า
“หกล้านห้าแสน”หลัวซิวก็เสนอราคาอย่างไม่ลังเลใจเช่นกัน ซึ่งราคานี้เทียบเท่าหินสลักตรีภพแล้ว
แม้นวิญญาณอมตะจะค่อนข้างหาพบได้ยาก แต่วิญญาณอมตะระดับผู้สูงส่งที่ขาดตกบกพร่องนั้น ประโยชน์ที่แท้จริงของมันยังเทียบเคียงกับพลังอมตะระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่ได้ ส่วนใหญ่ราคานี้ถือเป็นขีดสูงสุดแล้ว
เดิมทีชายหน้ากากเหล็กดำนั่นคิดว่าหกล้านก็สามารถประมูลมาได้แล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนเสนอราคากลางคัน เมื่อเห็นว่าผู้ที่แข่งประมวลกับตนเป็นเพียงมดตัวจ้อยผู้น้อยเทพมารระดับแปดกระจอก ๆ คนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ดูดุดันและเฉียบคมขึ้นมาทันที ราวกับเป็นการตักเตือน
“เจ็ดล้าน!”ชายหน้ากากเหล็กดำเพิ่มราคาขึ้นไปอีก จากศักยภาพของเขาที่แทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในแดนราชาเทพระดับเก้า ไม่ว่าอย่างไรทรัพย์สินก็ต้องมีหลักสิบล้านเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
หากฝ่ายตรงข้ามไม่ใช้จิตสังหารมาตักเตือนตน บางทีหลัวซิวก็อาจจะยอมแพ้ไปแล้ว เนื่องจากกรองแก้วโลหิตที่มีติดตัวของเขามีไม่เพียงพอแล้ว ขืนต้องซื้อจริง ๆ ละก็ คงต้องนำหินบรรพไท่ชูไปแลกเป็นกรองแก้วโลหิตอีกแล้วล่ะ
อุปนิสัยของหลัวซิวเป็นผู้ที่ไม่หวาดหวั่นผู้แข็งแกร่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฝ่ายตรงข้ามบังอาจงัดข้อกับตน เขาย่อมไม่มีทางถดถอยอยู่แล้ว นอกเสียจากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่ามกุฎเทพระดับเก้า เช่นนั้นก็ต้องดูสถานการณ์กันอีกทีแล้วล่ะ
ทว่าหากเป็นราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่ง ต่อให้แข็งแกร่งมากแล้วอย่างไร? ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หลัวซิวรู้สึกหวาดหวั่นและถดถอย
ตัวสำนึกของหลัวซิวแผ่สำรวจแหวนเก็บของของตัวเองรอบหนึ่ง ก่อนจะพบว่าเหลือกรองแก้วโลหิตเพียงสามล้านกว่าก้อนแล้ว อันที่จริงขณะที่เขาเสนอราคาหกล้านห้าแสน มันก็เป็นการทดสอบหยั่งเชิงเช่นกัน หากยังมีคนเสนอราคาต่อละก็ แสดงว่ามูลค่าของวิญญาณอมตะนั่นสูงกว่าราคาที่เสนอ
“กรองแก้วโลหิตสามล้านก้อน บวกกับเคล็ดเซียนระดับผู้สูงส่งอีกหนึ่งวิชา”หลัวซิวเสนอราคาของตัวเอง หากไม่ต้องใช้หินบรรพไท่ชูมันก็ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าอยู่แล้ว
“ว่าอย่างไรนะ? เคล็ดเซียนระดับผู้สูงส่งอย่างนั้นหรือ?”
“คนดังกล่าวช่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก มูลค่าของเคล็ดเซียนระดับผู้สูงส่งอยู่เหนือวิญญาณอมตะที่ขาดตกบกพร่องแล้ว แต่เจ้าหมอนั่นยังเพิ่มกรองแก้วโลหิตอีกสามล้านก้อน สมองมันไม่ได้มีปัญหาใช่ไหม?”
“……”
คำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ดังขึ้น สำหรับคนส่วนมากแล้ว มูลค่าของเคล็ดเซียนระดับผู้สูงส่งอยู่เหนือพลังอมตะ แต่หลัวซิวกลับไม่ขาดแคลนเคล็ดเซียน ในทางตรงกันข้ามสิ่งที่เขาขาดกลับเป็นวิญญาณอมตะ
การค้าขายเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนต้องการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว สิ่งที่เจ้าต้องการจริง ๆ ถึงจะเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าสูงที่สุดต่างหาก