มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2790 ตำหนักปีศาจนภา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2790 ตำหนักปีศาจนภา
ในเมื่อฮู๋ชิงชิงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นหลัวซิวก็วางแผนที่จะเลือกตำหนักปีศาจนภาแล้ว
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าผลการฝึกตนของฮู๋ชิงชิงเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าแล้ว แต่ทว่านางไม่ได้ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาแต่อย่างใด อย่างไรเสียการผนึกรวมกงล้อเทพนั้นเกี่ยวเนื่องถึงผลสำเร็จสูงต่ำในอนาคต เพราะฉะนั้นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าจำนวนมากจึงจะใช้กาลเวลาที่ยาวนาน มาทำการตกตะกอนผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณสมบัติที่ดีที่สุดออกมา
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้า ย่อมต้องผ่านการคัดเลือกง่ายกว่าเทพมารระดับแปดอยู่แล้ว และการที่ฮู๋ชิงชิงบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าเร็วขนาดนี้นั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าโชคโอกาสที่นางได้รับจากปราสาทอสูรฟ้านั้นไม่ธรรมดา
หากนางสามารถเข้าไปในสถานแหล่งเต๋า แม้นจะผนึกรวมกงล้อเทพที่สมบูรณ์แบบออกมาไม่ได้ จากสติปัญญาของนาง อย่างน้อยก็สามารถผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณภาพระดับชั้นสูงออกมาได้ และขอแค่เป็นคุณภาพชั้นสูง หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ อนาคตก็มีโอกาสฝึกตนถึงแดนผู้สูงส่งได้แล้วล่ะ
เมื่อสายตาของหลัวซิวกวาดมองไปยังสถานที่อื่น ๆ เขาไม่พบเจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นแต่อย่างใด บัดนี้เขาก็ถือว่าเข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่เจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นแจ้นมาโลกสวรรค์นั้น เขาไม่ได้มาเพื่อสหการค้าเลยด้วยซ้ำ ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็คือการมุ่งหน้ามายังสถานแหล่งเต๋า
แต่ว่าเจ้าหมอนั้นไม่ได้พูดความจริงกับตน นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจมาก
หลัวซิวต่อแถวอยู่ด้านหลังกลุ่มคน หลังจากที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ถึงตาเขาสักที
เขาใช้ฝ่ามือแนบลงบนลูกแก้ว แล้วเริ่มโคจรผลการฝึกตนก่อน อีกทั้งควบคุมระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทย์ได้อย่างแม่นยำ จึงมีรังสีสีน้ำเงินที่งดงามแย้มบานออกมาจากลูกแก้วทันที อีกทั้งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปทางสีม่วง
รังสีสีม่วงถือเป็นขีดสูงสุดในแดนเทพมารระดับแปดแล้ว หากอยู่เหนือสีม่วง เล่ากันว่ามันจะกลายเป็นสีทอง ซึ่งหมายความว่าระดับความแข็งแกร่งในพลังเวทย์ผลการฝึกตนของคนคนนั้นบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าแล้ว
หลัวซิวไม่ได้ทำตัวโดดเด่นที่นี่ เขารู้สึกว่าแค่ผ่านการคัดเลือกในรอบนี้ก็พอแล้ว ดังนั้นจึงควบคุมระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทย์ผลการฝึกตนไว้ในระดับที่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายอ่อน ๆ
ผลลัพธ์นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้รู้สึกทึ่งมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากผู้สืบทอดคนใดคนหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดยังสามารถทำได้อย่างง่ายดายเลย ยิ่งกว่านั้นคืออาจจะโดดเด่นกว่าหลัวซิวหลายเท่าตัวด้วย
“ผลการฝึกตนถือว่าไม่ค่อยเลวเลย”ผู้ดูแลแห่งตำหนักปีศาจนภาที่มีหน้าที่จดบันทึกพยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง “โคจรตัวสำนึกของเจ้า”
หลัวซิวดึงผลการฝึกตนกลับมา จากนั้นโคจรตัวสำนึกให้เคลื่อนผ่านฝ่ามือแล้วถ่ายเทเข้าไปในลูกแก้ว จากนั้นก็มีแสงสีม่วงอ่อน ๆ แย้มบานออกมาจากลูกแก้วเช่นกัน
“ตัวสำนึกวิญญาณก็ไม่เลวเช่นกัน ซึ่งนี่โดดเด่นกว่าผลการฝึกตนมากเลยนะ”ผู้ดูแลแห่งตำหนักปีศาจนภาอมยิ้มพลางพูด
ไม่ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามย้ำเตือน หลัวซิวก็โคจรแรงฮึดร่างเนื้อแล้วปลดปล่อยลงไปในลูกแก้ว แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางโคจรอย่างสุดกำลังสามารถอยู่แล้ว และมีแสงสีม่วงอ่อน ๆ แย้มบานออกมาจากตัวลูกแก้วเหมือนกัน
ผลการประเมินนี้ไม่ถือว่าน่าทึ่งเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยเลวแล้ว เพียงพอที่จะสามารถผ่านการคัดเลือกของตำหนักปีศาจนภา
“ดีมาก เจ้าชื่ออะไร เจ้าผ่านการคัดเลือกแล้ว และจะได้เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกในหอคอยนภากาศด้วยตัวตนศิษย์ตำหนักปีศาจนภา”ผู้ดูแลที่มีหน้าที่รับผิดชอบจดบันทึกของตำหนักปีศาจนภามองหลัวซิวด้วยสายตาที่ค่อนข้างพึงพอใจรอบหนึ่ง
จอมยุทธ์ทั่วไปมักจะเน้นฝึกด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นบางคนมีร่างเนื้อแข็งแกร่ง บางคนมีผลการฝึกตนที่แข็งแกร่ง และมีบางคนที่มีตัวสำนึกแข็งแกร่ง
ส่วนผู้ที่โดดเด่นทั้งสามด้านอย่างชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมีไม่มาก คนประเภทนี้ภาพรวมดูไม่ค่อยโดดเด่น แต่กลับมีศักยภาพที่สูงมาก ซึ่งนี่ก็หมายความว่าคนดังกล่าวมีพรสวรรค์ด้านการกลั่นร่าง กลั่นวิญญาณและการฝึกตนที่โดดเด่นมาก
“ขอบพระคุณผู้ดูแลขอรับ ข้ามีนามว่าเหวิ้นเต้า เป็นนักค่ายเทพคนหนึ่งขอรับ”หลัวซิวตอบกลับ จากนั้นเขาก็เดินไปยืนข้างฮู๋ชิงชิง
“ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้ชื่ออะไรหรือ?”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยลอยมา ก่อนจะมีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดดำปรากฏตรงหน้าฮู๋ชิงชิง
แม้นฮู๋ชิงชิงจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่าของตัวเองแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังคงมีพลังออร่าพิเศษที่ดึงดูดผู้คนได้อยู่เช่นเคย บนเสื้อของชายหนุ่มชุดดำคนนี้มีคำว่า‘ปีศาจ’ติดอยู่ และเขาก็เป็นศิษย์ของตำหนักปีศาจนภาอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ
หลัวซิวเห็นว่าฮู๋ชิงชิงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นรู้สึกแห้ว ในทางตรงกันข้ามแววตากลับยิ่งเป็นประกายขึ้นมา “โฉมงามมีเวลาดื่มเป็นมิตรข้าสักแก้วหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยิ่งอยู่ยิ่งเกินเลย ใบหน้าฮู๋ชิงชิงก็ดูเยือกเย็นขึ้น ก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา: “ท่านชายโปรดสำรวมตัวด้วยเจ้าค่ะ”
“สหายโหมวเจ๋อ ข้าจำได้ว่าเจ้าตามจีบเทพธิดาเมิ่งเหยาแห่งหอมกุฎดาบมาโดยตลอดเลยมิใช่รึ?”
จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะหนึ่งสะท้อนมา เมื่อหลัวซิวเห็นผู้มาเยือน เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเช่นกันว่าเจ้านักพรตชิงชานนั่นแจ้นมาฝั่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
รอยยิ้มที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยหายไปจากใบหน้าชายหนุ่มชุดดำภายในพริบตา ก่อนจะทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น “นักพรตน้อยชิงซาน มึงอยากตายหรือ?”
“โหมวเจ๋อ ท่าทีนี้ของเจ้าน่ะ เก็บไว้ข่มขู่ผู้อื่นก็พอแล้ว”
นักพรตชิงชานไม่ได้นำคำข่มขู่ของโหมวเจ๋อมาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ สายตาหันไปทางฮู๋ชิงชิง ก่อนจะยิ้มพลางพูดว่า: “ช่างเป็นโฉมงามที่โดดเด่นเสียจริง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเทพธิดาเมิ่งเหยาแล้ว ก็ต่างกันมากเลยล่ะ หรือว่าโหมวเจ๋อเจ้าเปลี่ยนใจแล้ว?”
“เปลี่ยนแม่มึงดิ!”
โหมวเจ๋อไม่อยากพัวพันคำถามนี้กับนักพรตชิงชาน ตะคอกอย่างเยือกเย็นประโยคหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ไม่ได้ตามตื้อฮู๋ชิงชิงต่อ
ดูเหมือนนักพรตชิงชานก็ไม่ค้นพบตัวตนของหลัวซิวและฮู๋ชิงชิงเช่นกัน ยิ้มอ่อนทีหนึ่ง ก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปยังทิศทางอื่น
ส่วนเทพธิดาเมิ่งเหยาที่พวกเขาทั้งสองคนกล่าวถึงนั้น กลับทำให้หลัวซิวและฮู๋ชิงชิงต่างผงะอย่างควบคุมไม่ได้
ขณะที่มาถึงตำหนักกิ่งโยงพลัง ฮู๋ชิงชิงเคยเจอลู่เมิ่งเหยาอยู่ อีกทั้งรู้แล้วว่าปัจจุบันลู่เมิ่งเหยาเป็นศิษย์ในหอมกุฎดาบ และดูเหมือนจะมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาในหอมกุฎดาบด้วย
แม้นหลัวซิวยังไม่ทราบเรื่องราวของหอมกุฎดาบ แต่สัญชาตญาณกลับบอกกับเขาว่าเทพธิดาเมิ่งเหยาที่โหมวเจ๋อและนักพรตชิงชานพูดถึงนั้น มีโอกาสเป็นลู่เมิ่งเหยาที่เขากำลังตามหาอยู่สูงมาก
หลัวซิวก็เคยได้ยินหอมกุฎดาบมาก่อนเช่นกัน ซึ่งเป็นกองกำลังที่ค่อนข้างพิเศษในโลกสวรรค์ พวกเขาแก่งแย่งอาณานิคมและเข่นฆ่ากับกองกำลังทั้งหลายน้อยมาก ทว่าขอแค่เป็นจอมยุทธ์ที่เดินออกมาจากหอมกุฎดาบ ก็แทบจะไม่มีผู้ใดกล้ารุกรานเลย
เล่ากันว่าหอมกุฎดาบในปัจจุบัน มีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานคนหนึ่งที่ฝึกวิถีดาบจนถึงแดนขั้นสูงสุด แทบจะเทียบเคียงกับอาจารย์ปู่ผู้บุกเบิกหอมกุฎดาบ ในยุคสมัยที่ประมุขเต๋ายังไม่บังเกิด แม้แต่เจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งวังชิงเทียนยังไม่ยอมรุกรานหอมกุฎดาบง่าย ๆ
หลัวซิวไม่ได้เปิดเผยตัวตนต่อฮู๋ชิงชิงแต่อย่างใด เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา และผู้อื่นอาจจะจับพิรุธได้ง่ายมาก
ระยะเวลาในการลงทะเบียนดำเนินการไปสามวัน เนื่องจากยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งหอคอยนภากาศถึงจะเปิดออก ดังนั้นจอมยุทธ์ทุกคนที่ถูกตำหนักปีศาจนภาเลือก จะมุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักปีศาจนภา ภายใต้การนำพาของผู้ดูแลแห่งตำหนักปีศาจนภา
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในวังนภาสิบสอง แม้นตำหนักปีศาจนภาจะไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างในอดีตแล้ว แต่ก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน แค่ผู้ดูแลคนหนึ่งก็มีผลการฝึกตนราชาเทพระดับเก้าแล้ว
เหนือผู้ดูแลยังมีผู้คุมกฎ ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสไท่ซ่างรวมไปถึงเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด
เล่ากันว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักปีศาจนภาไม่ใช่ผู้แกร่งเลิศ แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้สูงส่งคนหนึ่ง
ที่นี่คือตำหนักพระราชวังที่เรียงรายกันอย่างไม่ขาดสายอยู่กลางนภา ตำหนักสีดำที่อยู่บนจุดสูงสุดก็คือตำหนักปีศาจนภา เบิ่งมองมาจากที่ไกล ๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังออร่าที่มากมายมหาศาลนั่นแล้ว จากตำหนักปีศาจนภาเป็นจุดศูนย์กลาง เขตพื้นที่บริเวณโดยรอบนับล้านไมล์ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยตำหนักหอคอยที่นับไม่ถ้วน จนประกอบเป็นฟ้าดินแห่งหนึ่ง
สภาพแวดล้อมในการฝึกตนของตำหนักปีศาจนภาดีเลิศกว่าหุบเขาสยบปีศาจหลายเท่าตัวมาก แม้นหุบเขาสยบปีศาจจะเป็นโลกาแดนปริศนาที่หลัวซิวบุกเบิกเมื่อชาติปางก่อน แต่เขาเมื่อชาติปางก่อนก็อยู่เพียงแดนผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิเท่านั้น แต่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ของตำหนักปีศาจนภากลับเป็นสถานที่ที่ประมุขเต๋าปีศาจนภาในยุคไท่ชูตกทอดมา ซึ่งทั้งสองไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกันด้วยซ้ำ
หากรวมหลัวซิวและฮู๋ชิงชิงแล้ว จำนวนจอมยุทธ์ที่ถูกตำหนักปีศาจนภาเลือกมีนับร้อยคน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลุ่มคนที่เลือกมาจากตำหนักกิ่งโยงพลังฝั่งมิติสมรภูมิกู่ไท่เท่านั้น และในสถานที่อื่น ๆ ยังมีจอมยุทธ์อีกเป็นจำนวนมากที่ถูกเลือก ซึ่งล้วนจะมารวมตัวกันฝั่งตำหนักปีศาจนภาในเร็ว ๆ นี้
หลังจากที่เข้าไปในตำหนักปีศาจนภาแล้ว ทุกคนก็ล้วนได้รับที่พักหนึ่งที่ จากนั้นก็แจกจ่ายป้ายบัญชาฐานะ ในส่วนของผู้ดูแลที่พาพวกหลัวซิวเดินทางมาที่นี่นั้น เขาพูดแค่ว่าให้รอการประกาศจากนั้นหายตัวไปเลย ถัดจากนั้นก็ไม่มีคนมาถามไถ่อะไรพวกเขาอีกเลย
ป้ายบัญชาฐานะที่แจกเท่ากับตัวตนศิษย์นอกสำนักของตำหนักปีศาจนภา อ้างอิงจากข่าวคราวที่หลัวซิวได้ยินมา ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งปีหอคอยนภากาศถึงจะเปิดออก อีกทั้งวังนภาสิบสองต้องร่วมมือกันเท่านั้นถึงจะเปิดออกได้
อ้างอิงจากข้อเรียกร้องของตำหนักปีศาจนภา ตลอดช่วงครึ่งปีนี้ จอมยุทธ์ทุกคนที่ถูกเลือกล้วนออกจากที่นี่ไม่ได้ สามารถใช้งานสถานฝึกตนทุกแห่งในตำหนักปีศาจนภาได้หมดเลย และสามารถฝึกตนในห้องนอนของตัวเองได้เช่นกัน
ระยะเวลาครึ่งปีนั้นจะว่านานก็ไม่นาน จอมยุทธ์ส่วนมากล้วนเลือกที่จะปิดขังในห้องนอนตัวเอง ทันทีที่เข้าสู่สภาวะปิดขัง สำหรับจอม์ที่มีอายุยืนยาวแล้ว ระยะเวลาครึ่งปีก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นแหละ
แม้นหลัวซิวจะมั่นใจในศักยภาพของตัวเองมาก ๆ แต่อย่างไรเสียเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การสอดส่องของเผ่าฟ้า ดังนั้นตลอดช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าเช่นกัน แต่เป็นการกลั่นผังค่ายและธงค่ายจำนวนมาก
เขาสามารถวิวัฒนาการค่ายเทพระดับเก้าทั่วไปออกมาโดยการใช้วิกล ค่ายกลที่ทำให้เขาจำเป็นต้องกลั่นธงค่ายและผังค่ายถึงจะสามารถกระตุ้นได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นค่ายราชันย์ระดับเก้า
หลังจากระยะเวลาครึ่งปีล่วงเลยไป ผู้ดูแลแห่งตำหนักปีศาจนภาก็ปรากฏอีกครั้ง แล้วรวบรวมจอมยุทธ์ทั้งหมดที่ถูกตำหนักปีศาจนภาเลือก
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานี้ หลัวซิวไม่เคยก้าวออกไปจากห้องนอนเลย มีบางคนที่เป็นเฉกเช่นเดียวกับเขา ทว่าก็มีบางคนที่เลือกที่จะไปร่วมมือกับผู้อื่น แล้วประกอบเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้คนที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก็จะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ในหอคอยนภากาศสูงกว่า
ครั้งนี้ผู้ที่เป็นผู้นำคือผู้คุมกฎคนหนึ่งของตำหนักปีศาจนภา ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้า เนื่องจากผลการฝึกตนแตกต่างกันมากเกินไป ในส่วนของรายละเอียดที่ว่าคนดังกล่าวเป็นมกุฎเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิหรือช่วงปลายนั้น หลัวซิวก็ดูไม่ออกแล้ว
จอมยุทธ์ที่ไม่ได้อยู่ในเผ่าฟ้าที่ถูกตำหนักปีศาจนภาเลือกมีทั้งหมดสามร้อยกว่าคน นอกเหนือจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีวัยรุ่นศิษย์ของตำหนักปีศาจนภาอีกจำนวนมาก หลัวซิวก็มองเห็นโหมวเจ๋อที่อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นเช่นกัน ผลการฝึกตนของโหมวเจ๋อนั่นเหมือนกับฮู๋ชิงชิง ต่างก็เป็นเทพมารระดับเก้า แต่กลับไม่ได้ผนึกรวมกงล้อเทพออกมา
ใช่ว่าต้องรอให้บรรลุถึงเทพมารระดับเก้าก่อนถึงจะผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้ อัจฉริยะบางส่วนสามารถผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้ตั้งแต่ยังอยู่ในแดนเทพมารระดับแปดช่วงปลายและขั้นสุดยอด แต่ทว่าคุณภาพของกงล้อเทพที่ผนึกรวมออกมาได้ในช่วงแดนนี้จะไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับผลสำเร็จในอนาคตเช่นกัน
ช่วงเวลาที่ตัดสินคุณภาพของกงล้อเทพจริง ๆ นั้น อยู่ที่แดนเทพมารระดับเก้า
ตำหนักสีดำที่ใหญ่โตมโหฬารหนึ่งหลังลอยอยู่เหนือศีรษะ ผู้คุมกฎแห่งตำหนักปีศาจนภาที่นำพาพวกหลัวซิวมากระโดดร่วงลงหน้าประตูใหญ่ของตำหนัก แล้วตะโกนพูดเสียงดัง: “การฝ่าฟันหอคอยนภากาศในครั้งนี้ จะจัดอันดับตามจำนวนหินนภาพลังเต๋ามากน้อยที่ได้รับ อันดับสูงต่ำเป็นตัวชี้ขาดว่าจะได้รับโอกาสเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าหรือไม่ เพราะฉะนั้นข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะสามารถทุ่มสุดกำลังสามารถ อย่าได้ทำให้ชื่อเสียงตำหนักปีศาจนภาของเราเสื่อมเสียเด็ดขาด!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนก็ต่างพากันลอยตัวขึ้นฟ้า ร่วงลงบริเวณรอบตำหนักสีดำ ซึ่งมีเพียงศิษย์ตำหนักปีศาจนภาอย่างโหมวเจ๋อเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปภายในตำหนัก ผู้ที่ไม่ใช่ศิษย์แห่งวังนภาที่ถูกเลือกอย่างฮู๋ชิงชิงและหลัวซิว ก็ทำได้เพียงยืนอยู่รอบตำหนัก