มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2801 สถานฌาปนประมุขเต๋า
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2801 สถานฌาปนประมุขเต๋า
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของหลัวซิว ลู่ยู่จื่อก็ระแวดระวังขึ้นมา ก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา: “ข้าไม่เข้าใจความหมายของผู้เพื่อนยุทธ์”
“เหตุใดผู้เพื่อนยุทธ์ถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยเล่า? ทันทีที่เจ้าเข้ามาในชั้น 13 ก็มุ่งไปยังส่วนลึกอย่างอดใจรอไม่ไหวเลย เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือ?”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางถาม
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้เพื่อนยุทธ์เจ้าสามารถสงสัยในตัวข้าได้นะ”ลู่ยู่จื่อยังคงปากแข็งมากอยู่เช่นเคย แล้วอธิบายอย่างสุขุมมากว่า: “ตั้งแต่ยุคไท่ชูเป็นต้นมา ชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศก็ไม่เคยถูกเปิดออกเลย ข้าย่อมต้องอยากไปตามหาโอกาสและสมบัติในส่วนลึกของชั้น 13 อย่างอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้ว”
จะว่าไปคำอธิบายนี้ก็ทำให้เขาจับจุดพิรุธไม่ได้เช่นกัน เหมือนดั่งโลกาแดนปริศนาที่ไม่เคยถูกผู้อื่นค้นพบมาก่อน ทันทีที่ค้นพบแล้ว ก็ต้องอยากพุ่งเข้าไปตามหาโชคโอกาสอย่างอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้ว
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น บางทีหลัวซิวอาจจะเชื่อคำอธิบายนี้ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเกิดเป็นลู่ยู่จื่อละก็ขฌ หลัวซิวกลับไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย
“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่ ไม่ว่าอย่างไรชาติปางก่อนเจ้าก็อยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศ ทว่าเจ้าที่อยู่ต่อหน้าข้ากลับเสแสร้งไม่จริงใจเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ลักษณะท่าทีที่ควรมีขณะเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสคนหนึ่งนะ”หลัวซิวพูดกระแทกเสียงต่ำ
หากพูดถึงภูมิหลังแล้ว หลัวซิวอาวุโสกว่าลู่ยู่จื่อ ชาติปางก่อนครั้นเมื่อเขาเป็นผู้สูงส่ง ลู่ยู่จื่อยังเป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ซึ่งนับเป็นผู้อาวุโสของเขาได้จริง ๆ
“ก่อนหน้านี้ผู้เพื่อนยุทธ์ก็บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าชาติปางก่อนเหมือนดั่งควันที่สลายหายไปแล้ว ภพชาตินี้เจ้าเป็นเพียงหลัวซิว ไม่ใช่ไท่ซ่างฉิงมิใช่หรือ? ไยจึงหยิบยกเรื่องราวในอดีตกลับขึ้นมาใหม่เล่า?”สภาพของลู่ยู่จื่อเหมือนกับหมูที่ตายแล้วไม่กลัวน้ำร้อนลวก
“ดูท่าผู้เพื่อนยุทธ์ลู่ไม่มีความคิดที่จะพูดความจริงแล้วสินะ?”รูม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย แล้วหรี่ตาลง
หากเป็นผู้ที่เข้าใจหลัวซิวก็จะทราบว่าทันทีที่เขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ โดยส่วนใหญ่ก็เป็นจังหวะที่เขาจะแตกหักกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว
“ข้าพูดความจริงมาโดยตลอดเลย พื้นที่ในชั้น 13 ของหอคอยนภากาศกว้างใหญ่มาก ซึ่งมีโชคโอกาสที่นับไม่ถ้วน ขืนยังไม่ออกไปตามหาอีกละก็ ทันทีที่ถึงระยะเวลาที่กำหนดของหอคอยนภากาศ เจ้าและข้าต่างจะถูกส่งออกไป”
ดูเหมือนลู่ยู่จื่อจะไม่อยากผูกติดอยู่กับคำถามนี้ต่อ ทำท่าทางเหมือนเตรียมพร้อมที่จะจากไป
“ดูท่าข้าคงทำได้เพียงลงมือแล้วล่ะ ถึงจะสามารถทำให้ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่พูดความจริงได้!”
หลัวซิวเบื่อที่จะพูดจาไร้สาระต่อแล้ว เงาร่างกระพริบภายในเสี้ยววินาที ก่อนจะปรากฏตรงหน้าลู่ยู่จื่อ
“ตราต้าฮวง!”
ทันทีที่ลงมือ หลัวซิวก็ใช้หนึ่งในพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองโดยตรง มือทั้งสองข้างของเขาประสานอิน แล้วกลายเป็นหอคอยฮวงหนึ่งหลัง มีแสงทองที่พร่างพราวแย้มบาน สยบทุกสรรพสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ธรรมเวชกาลร้าง?”
สีหน้าของลู่ยู่จื่อเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แล้วพูดอย่างสุขุม: “ใช่ว่าผู้เพื่อนยุทธ์หลัวจะสามารถโค่นล้มข้าได้เสมอไปนะ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น มือของลู่ยู่จื่อก็เริ่มประสานอินเช่นกัน เกณฑ์ปริภูมิผนึกรวมกันอยู่ข้างกายเขาอย่างรวดเร็ว แล้ววิวัฒนาการเป็นอาณาจักรหนึ่ง
พื้นที่ปริภูมิที่ว่างเปล่าในตอนแรกผนึกรวมกันอยู่รอบกายเขาจนกลายเป็นแก่นแท้ เหมือนดั่งป้อมปราการที่แข็งแรงอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถต้านทานพลังโจมตีทั้งปวงได้
“ตู้มม!”
พลังอมตะของทั้งสองคนพุ่งชนเข้าด้วยกันอย่างรุนแรง เสียงปริภูมิที่แตกร้าวดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริภูมิที่เหมือนดั่งแก่นแท้แตกกระเด็น
ตราต้าฮวงของหลัวซิวไม่ได้ทลายเกราะป้องกันปริภูมิของลู่ยู่จื่อแต่อย่างใดจจ ทว่ากลับทำให้ป้อมปราการปริภูมิถูกโจมตีจนเกิดเป็นรอยร้าว เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยร้าวที่เหมือนดังใยแมงมุม
“สังหารเทพ!”
หลัวซิวตวาดเสียงเบา โคจรตัวสำนักวิญญาณ ก่อนจะผันเป็นกระบี่เทพเล่มหนึ่งพร้อมกับเสียงคำราม มองข้ามการขวางกั้นของปริภูมิ เฉือนสับเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของลู่ยู่จื่อ
สังหารเทพที่กล่าวถึงนั้น สังหารก็คือการเข่นฆ่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสังหารปราบปราม ส่วนเทพนั้นเป็นสัญลักษณ์ของช่องจิต ซึ่งเป็นวิญญาณดั้งเดิมของจอมยุทธ์ เพราะฉะนั้นพลังอมตะสังหารเทพ ก็คือพลังอมตะปราบปรามวิญญาณที่หลัวซิวริเริ่มขึ้นมาเพื่อทำลายช่องจิตดั้งเดิมของคู่ต่อสู้โดยเฉพาะ!
พลานุภาพของพลังอมตะนี้เทียบเคียงกับตราสรรพสิทธิ์และตราต้าฮวงไม่ได้ แต่ด้านการโจมตีวิญญาณกลับดุดันอย่างยิ่ง ทำให้คนยากที่จะต้านทาน
แม้นผลการฝึกตนในภพชาตินี้ของลู่ยู่จื่อจะเป็นเพียงเทพมารระดับแปดขั้นสูง แต่ตัวสำนึกของเขากลับบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าขั้นสูง ซึ่งไม่ด้อยกว่าหลัวซิวเลยแม้แต่น้อย
ในตัวหยั่งรู้ของเขา ตัวสำนึกวิญญาณของทั้งสองคนพุ่งชนเข้าด้วยกันอย่างรุนแรง พลังตัวสำนึกอยู่ในระดับเดียวกัน แต่แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น ลู่ยู่จื่อก็ถูกกดอัดไปแล้ว
ตัวสำนึกของหลัวซิวเหมือนดังกระบี่เทพเล่มหนึ่ง ทิ่มแทงไปยังช่องจิตที่แวววาวจับตาปานดวงอาทิตย์ที่อยู่ใจกลางตัวหยั่งรู้
“พลังญาณเทว! เจ้าได้รับการถ่ายทอดสืบสานของบรรพศักดิ์สิทธไท่หุนหรือ?”
ลู่ยู่จื่ออุทานออกมาอย่างตะลึง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาทราบความเป็นมาของวรยุทธ์กลั่นวิญญาณที่หลัวซิวฝึกอยู่
ตั้งแต่โบราณกาลมา รวมไปถึงก่อนยุคสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคไท่ชู เคยมีประมุขเต๋าอุบัติขึ้นมาในดาราจักรวาลเยอะมาก ๆ ทว่าตั้งแต่ยุคไท่ชูเป็นต้นมา วรยุทธ์พลังอมตะเก่าแก่ส่วนมากก็ล้วนขาดการสืบสานไปแล้ว สลายหายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา
จวบจนปัจจุบัน นอกเหนือจากคัมภีร์เต๋าที่สวรรค์ทั้ง 12 ริเริ่มแล้ว วรยุทธ์ที่เป็นวรยุทธ์ระดับประมุขเต๋าก็มีเพียงเคล็ดวัฏสงสารเลิศล้ำที่จ้าววัฏสงสารริเริ่มแล้วล่ะ
แต่ว่าในยุคสมัยที่ไกลโพ้นกว่ายุคไท่ชู เคยมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าสามท่านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ซึ่งได้แก่ประมุขเต๋าไท่ชิง บรรพศักดิ์สิทธไท่หุนและประมุขเต๋าไท่ยี่!
ประมุขเต๋าทั้งสามท่านนี้ก็ถูกคนรุ่นหลังเรียกขานว่าบรรพศักดิ์สิทธิ์จวินเวยเช่นกัน โดยทั้งสามต่างบรรลุถึงขั้นสูงสุดของวิถีภัณฑ์ วิถียารวมไปถึงวิถีค่าย สามารถพูดได้เลยว่าพวกท่านได้ริเริ่มวิถีใหม่แล้วบรรลุสู่แดนประมุขเต๋าสำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่นประมุขเต๋าไท่ชิง ท่านก็ริเริ่มวิถีภัณฑ์ รวมไปถึงวิถีภัณฑ์กลั่นร่าง กลั่นร่างดั่งภัณฑ์ ฝึกชุบร่างเนื้อให้ถึงขีดสูงสุด บรรลุถึงระดับที่เทียบทัดอัญนภาเต๋าโดยอ้างอิงธรรมเวชกาลร้าง
ส่วนบรรพศักดิ์สิทธไท่หุนนั้นเน้นฝึกวิถีกลั่นวิญญาณโดยเฉพาะ ไม่ฝึกเกณฑ์เทียนเต้า หลังจากพลังวิญญาณบรรลุถึงแดนที่สูงที่สุดแล้ว ก็จะสามารถใช้อำนาจควบคุมเกณฑ์เทียนเต้าญญ ซึ่งเป็นมหาอิทธิฤทธิ์แดนประมุขเต๋าเช่นกัน
แล้วก็ประมุขเต๋าไท่ยี่ ท่านบำเพ็ญการกลั่นวิญญาณและกลั่นร่างพร้อมกัน ใช้วิถีค่ายเป็นอุบายสนับสนุน แม้นการกลั่นวิญญาณจะเทียบเคียงกับบรรพศักดิ์สิทธไท่หุนไม่ได้ แลพเทียบเคียงการกลั่นร่างกับประมุขเต๋าไท่ชิงไม่ได้ ทว่าศักยภาพโดยรวมของท่านกลับไม่ด้อยกว่าประมุขเต๋าทั้งสองท่านนั้นเลย ยิ่งกว่านั้นคือยังอยู่เหนือกว่าหนึ่งระดับด้วย
และเริ่มตั้งแต่บรรพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามท่านนี้นี่แหละ ถึงได้มีการถ่ายทอดสืบสานของวิถีภัณฑ์ วิถียารวมไปถึงวิถีค่ายตกทอดแพร่ขยายอยู่ในหมื่นจักรวาล
ในยุคสมัยที่เก่าแก่กว่าบรรพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามท่านนี้ ยังไม่มีแนวคิดด้านวิถีภัณฑ์ วิถียารวมไปถึงวิถีค่าย
ดังนั้นผู้คนในยุคหลังต่างเรียกขานพวกท่านว่าบรรพภัณฑ์ไท่ชิง บรรพโอสถไท่หุนและบรรพค่ายไท่ยี่
การที่เพิ่มคำว่าศักดิ์สิทธิ์ต่อท้ายคำว่าบรรพนั้น ก็เป็นความเคารพนับถือของคนรุ่นหลังที่มีต่อพวกท่าน
พลังญาณเทวเป็นพลังวิญญาณประเภทหนึ่งที่บรรพศักดิ์สิทธไท่หุนริเริ่มด้วยตนเอง เมื่อมีการปลุกเสกด้วยพลังประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับความแข็งแกร่งหรือพลังของตัวสำนึกของจอมยุทธ์ ต่างก็จะได้รับการยกระดับที่สูงมาก
ดังนั้นแม้นตัวสำนึกจะอยู่ในระดับเทพมารระดับเก้าขั้นสูงเหมือนกัน แม้ลู่ยู่จื่อก็ฝึกวรยุทธ์กลั่นวิญญาที่ปราดเปรื่องมากเช่นกัน แต่กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิวด้วยซ้ำ ทำได้เพียงถดถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง
“สำนักเต๋ามหาวาล!”
จู่ ๆ ก็มีรัศมีแย้มบานออกมาจากตัวหยั่งรู้ของลู่ยู่จื่อ ก่อนจะมีประตูสำนักเต๋าบานหนึ่งที่โบราณและเรียบง่ายปรากฏในตัวหยั่งรู้ของเขา กระบี่เทพที่ผันมาจากตัวสำนึกของหลัวซิวทิ่มแทงเข้าไปในประตูบานนั้น แล้วขาดการติดต่อกับเขาอย่างรวดเร็ว ถูกปริภูมิที่ไร้ขอบเขตดูดกลืน
นี่ไม่ใช่สำนักเต๋าที่แท้จริง แต่เป็นความล้ำลึกและพลังอมตะของสำนักเต๋าแห่งอัญโลกะเสวียนที่ลู่ยู่จื่อวิวัฒนาการออกมาโดยอาศัยการตระหนักรู้และความเข้าใจในธรรมเวชเสวียน
แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าศักยภาพของลู่ยู่จื่อแข็งแกร่งมาก เขาปลดปล่อยมหาอุบายทั้งสองออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็แค่เป็นฝ่ายได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งยังไม่สามารถทำการโค่นล้มลู่ยู่จื่อได้
“สรรพวิถีล้วนว้าง!”
มีรัศมีเทวหลายดวงตลบฟุ้งอยู่รอบกายหลัวซิว ทุกตำแหน่งที่รัศมีเทวสอดส่องผ่าน สรรพวิชาหลบเลี่ยง สรรพวิถีดับสูญ
ลู่ยู่จื่อสัมผัสได้ภายในพริบตาว่าเกณฑ์ปริภูมิที่ตนผนึกรวมออกมากำลังสลายหายไปอย่างต่อเนื่อง นี่จึงทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
“ร่างเทวไร้มลทิน”
เขาย่อมต้องทราบความแข็งแกร่งของฐานร่างประเภทนี้ดีอยู่แล้ว เล่ากันว่าเมื่อฝึกฐานร่างประเภทนี้ให้ถึงแดนสูงสุด สรรพวิชาก็จะทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งสามารถทลายพลังโจมตีและเกราะป้องกันทั้งปวง
เพียงชั่วพริบตาเดียว ป้อมปราการปริภูมิก็ถูกทำลายทิ้งทันที หลัวซิวบุกเข้าจู่โจมไปถึงด้านหน้าลู่ยู่จื่ออย่างรวดเร็ว ปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น จิตสังหารแห่งการย้อนสังหารปราบปรามสวรรค์พุ่งทะยานขึ้นฟ้า ระเบิดแตกอย่างมโหฬารพันลึก
และนี่ก็คือหมัดจ้านเทียน จากแดน ณ ปัจจุบันของหลัวซิว เมื่อปลดปล่อยมันออกมาด้วยไร้ลักษณ์ พลานุภาพของพลังอมตะนี้จึงเปี่ยมล้นไปด้วยการตระหนักรู้และความล้ำลึกของตัวเขาเอง
“ตู้มม!”
มีประตูสำนักเต๋าบานหนึ่งปรากฏตรงหน้าหลัวซิว ได้ยินเพียงเสียงตู้มดังลั่นขึ้น อนัตตานับหมื่นไมล์ถูกทลายจนกลายเป็นฝุ่นผง สำนักเต๋าไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ต้านทานหมัดอันดุดันของหลัวซิวเอาไว้
“ช่างเป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
จอมยุทธ์คนหนึ่งเชี่ยวชาญวิถีกลั่นวิญญาณและกลั่นร่างพร้อมกันได้ยากมาก ทว่าในด้านนี้หลัวซิวกลับทำถึงขั้นที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวสำนึกวิญญาณ เคล็ดวิชาพลังอมตะ หรือร่างเนื้อร่างเทว ทุกอย่างล้วนแข็งแกร่งถึงระดับขั้นที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ต้องท้าวความก่อนว่าผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเขาเป็นเพียงแดนเทพมารระดับแปดช่วงปลายเท่านั้น
“ผู้เพื่อนยุทธ์ยังไม่มีความคิดที่จะอธิบายหน่อยรึ?”
หลัวซิวค่อย ๆ ดึงหมัดกลับมา เขาไม่มีความคิดที่จะแตกหักกับลู่ยู่จื่อโดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด อย่างไรเสียการตระหนักรู้ในธรรมเวชเสวียนของลู่ยู่จื่อสูงส่งมาก หากพูดถึงระดับความสูงในการตระหนักรู้เกณฑ์แล้ว เขายังเทียบเคียงกับลู่ยู่จื่อไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะภพชาตินี้เขายึดกุมวิถีไร้ลักษณ์ เขารู้ตัวเองดีอยู่ว่าจากแดนในปัจจุบัน เขาไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของลู่ยู่จื่อแน่นอน
ที่เขาแสดงศักยภาพของตัวเองออกมานั้น อันที่จริงมันก็เป็นทำนองเดียวกันกับการขู่บังคับเช่นกัน เพื่อให้ลู่ยู่จื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาผลได้ผลเสียในเรื่องนี้
“ดูท่าเจ้าไม่เพียงได้รับการถ่ายทอดสืบสานของบรรพศักดิ์สิทธไท่หุน แม้แต่การถ่ายทอดสืบสานของบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงและไท่ยี่ เจ้าก็ล้วนยึดกุมแล้ว ชำนาญจุดเด่นของบรรพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามท่าน มิน่าล่ะเจ้าที่อยู่ในเทพมารระดับแปดช่วงปลายถึงมีศักยภาพที่แข็งแกร่งเช่นนี้”
ประสบการณ์ของลู่ยู่จื่อล้ำเลิศมาก แค่ประมือกับหลัวซิวสองกระบวนท่า ก็มองเงื่อนงำอะไรบางอย่างออกแล้ว
หลัวซิวนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่ได้ปฏิเสธการคาดเดาของลู่ยู่จื่อ ส่วนความเงียบของหลัวซิวกลับทำให้ลู่ยู่จื่อรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจถึงจะมาถึงชั้น 13 ของหอคอยนภากาศ เขาจึงต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างอยู่แล้ว ส่วนวินาทีนี้เขาและหลัวซิวอยู่ในขั้นที่แทบจะแตกหักกันแล้ว หากหลัวซิวจะก่อความวุ่นวายละก็ ก่อนจะสิ้นสุดระยะเวลาสามปีที่กำหนด ใช่ว่าเขาจะสามารถได้ครอบครองของสิ่งนั้นเสมอไป
“ศักยภาพของผู้เพื่อนยุทธ์น่าทึ่ง แซ่ลู่รู้สึกเคารพเลื่อมใสมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ แซ่ลู่ก็มองข้ามเรื่องราวบางอย่างไปแล้วจริง ๆ จึงไม่ทันได้แจ้งให้ผู้เพื่อนยุทธ์ทราบ”
หลังจากลู่ยู่จื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาแล้ว สุดท้ายเขาก็วางแผนที่จะเปิดเผยความลับอะไรบางอย่างต่อหลัวซิว
“ข้าน้อยจักฟังอย่างเคารพตั้งใจ”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง
“อ้างอิงจากพระราชสาส์นโบราณที่ข้าได้รับมา ในชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศมีประมุขเต๋าฝังอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าประมุขเต๋าคงกระพัน และจุดประสงค์ที่ข้ามาชั้น 13 ของหอคอยนภากาศนั้น ก็เพื่อสำรวจสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพัน”ลู่ยู่จื่อกล่าวเช่นนี้
สถานฌาปนประมุขเต๋า?
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำตอบดังกล่าวภด เขาก็รู้สึกตะลึงมากเช่นกัน ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าแทบจะกลายเป็นอมตะแล้ว ขอแค่ไม่ดับสลายสูญสิ้น ก็จะสามารถคงอยู่ในโลกใบนี้ได้ตลอดกาล แล้วผู้แข็งแกร่งประเภทนี้ดับสลายสูญสิ้นได้อย่างไรกันนะ?
มีสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคที่แปดปรากฏขึ้นมาในหัวหลัวซิวอย่างควบคุมไม่ได้ รวมไปถึงสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารรุ่นที่สาม จ้าววัฏสงสารก็อยู่ในระดับประมุขเต๋าเช่นกัน บวกกับวังดับฟ้าที่เขาพบเจอในมหาโลกาพันสาม รวมไปถึงโลงศพเทวฝังสวรรค์ ตั้งแต่โบราณกาลมา ดูท่าจำนวนประมุขเต๋าที่ดับสลายสูญสิ้นไปก็มีไม่น้อยเช่นกัน!