มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2802 จวินห้าวเซวียน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2802 จวินห้าวเซวียน
สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพันนั้น ลู่ยู่จื่อแค่พูดถึงข้อมูลบางอย่างที่เลือนลางมาก ๆ อิงจากคำพูดของเขา เขาแค่ทราบเรื่องราวเหล่านี้ผ่านพระราชสาส์นที่เก่าแก่ ในส่วนของเรื่องที่ว่าสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพันตั้งอยู่ที่ใดนั้น เขาก็ไม่อาจทราบได้เลย
สิ่งที่หลัวซิวสามารถยืนยันได้คือลู่ยู่จื่อไม่มีทางใจกว้างขนาดนี้แน่นอน เขาต้องปิดบังข้อมูลที่สำคัญมาก ๆ แล้วไม่ได้บอกตนแน่นอน
“ผู้เพื่อนยุทธ์ยังจำเรื่องที่ข้าถูกญาณมรณะเทพมารระดับเก้าขั้นสูงนับร้อยตัวไล่ล่าได้หรือไม่? พวกญาณมรณะที่ไล่ล่าข้าก็มาจากสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพันนี่แหละ”
ลู่ยู่จื่อพูดอีกหนึ่งข้อมูลออกมา และถือเป็นการยอมรับโดยนัยแล้วว่าหลังจากที่เขามาถึงชั้น 13 ของหอคอยนภากาศแล้ว ก็พุ่งตรงไปสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพันโดยตรง
แต่ทว่าดูเหมือนสถานฌาปนแห่งนี้จะไม่ได้สำรวจง่ายขนาดนั้น จากศักยภาพของลู่ยู่จื่อ เมื่อประสบพบเจอกับภยันตรายที่อยู่ภายใน ก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเช่นกัน
และสาเหตุที่เขาบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้หลัวซิวฟังนั้น ก็เพื่ออยากร่วมมือกับหลัวซิวอีกครั้งนั่นเอง
“ญาณมรณะทั้งหมดที่อยู่ในชั้น 13 ของหอคอยนภากาศล้วนเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่ติดตามประมุขเต๋าคงกระพัน เนื่องจากถูกเกณฑ์พิเศษในหอคอยนภากาศพันธนาการ ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีทางมีญาณมรณะที่อยู่สูงกว่าราชาเทพระดับเก้า”
ลู่ยู่จื่อค่อย ๆ พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “แต่ปัญหาคือญาณมรณะเทพมารระดับเก้าที่อยู่ภายในสถานฌาปนแห่งนั้นมีมากเกินไป คาดว่าแม้แต่เจ้าและข้าร่วมมือกัน ก็บุกเข้าไปได้ยากมาก”
“จากตัวตนและภูมิหลังของผู้เพื่อนยุทธ์ เจ้าไม่มีของขลังคุ้มกันที่ทรงพลังหน่อยเลยหรือ?”หลัวซิวถามด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
“ข้าต้องมีของขลังคุ้มกันอยู่แล้ว ทว่าหากเผชิญหน้ากับญาณมรณะนับพันตัวรุมโจมตี ของขลังคุ้มกันสามารถต้านทานได้ แต่ผลการฝึกตนของเจ้าและข้าก็ต้านทานไม่ไหวนะ”ลู่ยู่จื่อบอกปัญหายากในเรื่องนี้ออกมา
ศักยภาพของทั้งสองต่างเทียบทัดราชาเทพระดับเก้า ซึ่งสามารถกดอัดเทพมารระดับเก้าได้อย่างง่าย แต่ถ้าเกิดจำนวนเทพมารระดับเก้ามีมากเกินไป จำนวนที่เปลี่ยนแปลงไปก็จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพง่ายขึ้น แค่อาศัยจำนวนญาณมรณะระดับนี้ก็สามารถสังหารราชาเทพระดับเก้าได้แล้ว โดยเฉพาะศักยภาพของเทพมารระดับเก้าขั้นสูงก็ไม่ค่อยแตกต่างจากราชาเทพระดับเก้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
มิหนำซ้ำญาณมรณะของที่นี่ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เคยติดตามประมุขเต๋าคงกระพัน และผู้ที่มีคุณสมบัติติดตามประมุขเต๋าได้นั้น จักเป็นผู้แข็งแกร่งธรรมดาทั่วไปหรือ?
แต่ไม่ว่าสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพันจะอันตรายมากเพียงใด หลัวซิวและลู่ยู่จื่อก็ยืนยันแล้วว่าจะลองฝ่าฟันดูสักตั้ง
อย่างไรเสียสถานฌาปนของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่ง มีโอกาสมีความลับที่สามารถบรรลุสู่ประมุขเต๋าคงอยู่สูงมาก
ทว่าเมื่อหลัวซิวตามลู่ยู่จื่อมาถึงด้านนอกสถานฌาปน ความรู้สึกบนใบหน้าเขาก็แข็งทื่อลงไปทันที
เนื่องจากสถานฌาปนแห่งนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ สถานฌาปนแห่งหนึ่งก็แทบจะครอบคลุมเขตพื้นที่ทั้งหมดของชั้น 13 อีกทั้งภายในเขตพื้นที่ที่ไร้ขอบเขตนี่ยังตลบฟุ้งไปด้วยออร่าความตาย ในหมอกความตายสีเทาดำล้วนเป็นญาณมรณะ
ยิ่งกว่านั้นคือญาณมรณะเหล่านี้ยังมีปณิธานครั้นเมื่อยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งความมุ่งมั่นของพวกมันก็คือเฝ้าดูแลสถานฌาปนของประมุขเต๋า ทำการสร้างคูเมืองที่มีชี่มรณะลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไปหลายเมือง รวมไปถึงตำหนักพระราชวังอันมืดทึบน่ากลัวที่นับไม่ถ้วน
เกณฑ์พลังเต๋าผนึกรวมกันอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง สายตาของหลัวซิวมองทะลุการขวางกั้นของหมอกความตายที่หนาแน่น แล้วมองเห็นแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่สูงใหญ่อย่างยิ่งในส่วนลึกของสถานฌาปนแห่งนี้ มีกองทัพญาณมรณะที่จำนวนน่าทึ่งโอบล้อมอยู่รอบแท่นบูชา พวกมันโอบล้อมอยู่รอบแท่นบูชาแล้วคุกเข่ากราบภาวนาอย่างศรัทธา ราวกับกำลังเรียกร้องให้ประมุขเต๋าคงกระพันที่ดับสลายสูญสิ้นไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับคืนมาใหม่!
คงกระพัน ขึ้นชื่อว่าไม่ตายไม่ดับ ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่งที่ใช้คำว่าคงกระพันเป็นชื่อและสมญานามของตนนั้น สามารถพูดได้เลยว่าเขาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก
“จำนวนญาณมรณะมีมากเกินไปแล้ว นอกเสียจากใช้อำนาจฝืนบุกรุกเข้าไป ก็ไม่มีทางเลือกที่สองให้เลือกแล้ว”หลัวซิวมองเพียงแวบเดียวก็ได้ตัดสินชี้ขาดเช่นนี้
เนื่องจากเมื่ออยู่ในสถานที่อย่างสถานฌาปนประมุขเต๋า ในฟ้าดินผืนนี้ตลบฟุ้งไปด้วยออร่าอำนาจของประมุขเต๋า ทันทีที่ย่างกรายเข้าไปในขอบเขตของสถานฌาปน ก็จะไม่สามารถอาศัยอุบายซ่อนงำต่าง ๆ บุกรุกเข้าไป เนื่องจากอุบายซ่อนงำทั้งปวงล้วนหนีอำนาจของประมุขเต๋าไม่พ้น
เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนประมุขเต๋า แม้นจักดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว แต่ก็ดูถูกและจาบจ้วงเศษอำนาจอันน่าเกรงขามที่ทิ้งไว้ไม่ได้
“มดตัวจ้อยบังอาจรบกวนการนอนหลับใหลของประมุขเต๋าอย่างนั้นหรือ?”
เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวและลู่ยู่จื่อย่างกรายเข้าไปในสถานฌาปน ก็มีเสียงที่แหบแห้งและเยือกเย็นสะท้อนออกมาจากคูเมืองมรณะ ถัดจากนั้นก็มองเห็นมือใหญ่สีดำข้างหนึ่งที่เหมือนดังเมฆครึ้มปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ครอบมาทางพวกเขาทั้งสองคน
ลู่ยู่จื่อทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะโบกมือครั้งหนึ่งแล้วมีประตูสำนักเต๋าปรากฏกลางอากาศที่ว่างเปล่าหนึ่งบาน เกณฑ์ปริภูมิที่ทรงพลังผนึกรวมกัน ทำการปลุกเสกเกราะป้องกันของสำนักเต๋าให้แข็งแกร่งที่สุด
“ตู้มม!”
จากการที่มีเสียงระเบิดดังลั่นเกิดขึ้น ประตูสำนักเต๋าก็ระเบิดแตกกะทันหัน แม้นเงาร่างของลู่ยู่จื่อจะยังคงยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง ทว่ากลับมีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะทั้งสี่บนใบหน้า ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว แววตาของหลัวซิวก็ดูตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน ดูเหมือนญาณมรณะที่แฝงซ่อนอยู่ในสถานฌาปนแห่งนี้จะแข็งแกร่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก ๆ!
“เอ๊ะ? ไม่นึกเลยว่าจะสามารถต้านทานฝ่ามือหนึ่งของข้าได้โดยไม่ตาย ดูท่าเจ้าก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งจริง ๆ!”
มีเงาดำที่รอบกายถูกปกคลุมอยู่ในรัศมีสีดำร่างหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกของสถานฌาปน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความปราณี “เมื่อครู่ข้าได้ยินเบื้องล่างรายงานว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในสุสานประมุขเต๋าตามอำเภอใจ เทพมารระดับเก้าขั้นสูงนับร้อยตัวไล่ล่าแต่ก็ถูกโจมตีจนต้องถอยกลับมา มีปัญญาความสามารถเล็กน้อยจริง ๆ ด้วย”
รัศมีสีดำค่อย ๆ สลายหายไป แล้วเผยให้เห็นรูปร่างลักษณะของชายหนุ่มคนหนึ่ง หุ่นร่างของเขาสูงชะลูด สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยองและโอหัง แต่ทว่าผิวพรรณของเขาขาวซีดจนน่ากลัว ทั้งร่างกายไม่มีออร่าชีวิตเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งแตกต่างจากญาณมรณะตัวอื่น ๆ ที่มีปณิธานครั้นเมื่อยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แม้นชายหนุ่มคนนี้ที่หลัวซิวมองเห็นก็เป็นญาณมรณะเช่นกัน แต่ดูเหมือนเขาจะมีปณิธานครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาคู่นั้น มีออร่าจิตญาณปนอยู่เล็กน้อย
แต่ออร่าผลการฝึกตนบนตัวเขากลับเป็นเพียงเทพมารระดับเก้า!
ตั้งแต่ผลการฝึกตนบรรลุมาถึงระดับขั้นอย่างปัจจุบัน เทพมารระดับเก้าที่ถูกหลัวซิวสังหารนั้นมีเยอะมาก ๆ แล้ว ซึ่งในจำนวนคนทั้งหมดนี้ยิ่งรวมไปถึงนักพรตชิงชาน ผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดในเด็กรุ่นใหม่ของวังชิงเทียน!
แต่ความรู้สึกที่ชายหนุ่มญาณมรณะคนนี้มอบให้หลัวซิวกลับแข็งแกร่งกว่านักพรตชิงชานหลายเท่าตัวมาก ศักยภาพของคนดังกล่าวแทบจะบรรลุถึงราชาเทพระดับเก้าขั้นสูง!
ด้านหลังของชายหนุ่มมีกงล้อเทพลอยอยู่หนึ่งวง กงล้อเทพวงดังกล่าวผนึกรวมกันถึงขั้นที่กลายเป็นแก่นแท้แล้ว จึงแสดงให้เห็นเลยว่าอย่างน้อยคุณภาพของกงล้อเทพวงนั้นก็อยู่ระดับสูง ซึ่งเป็นรองเพียงคุณภาพระดับสมบูรณ์แบบในตำนาน
เทพมารที่มีกงล้อเทพหนึ่งวง แต่แทบจะสามารถเทียบทัดราชาเทพขั้นสูงห้ากงล้อ ซึ่งนี่ก็หมายความว่าครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ คนดังกล่าวต้องเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานคนหนึ่งแน่นอน!
ชาติปางก่อนลู่ยู่จื่อสามารถฝึกถึงแดนผู้แกร่งเลิศ เขาย่อมต้องเป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดเหมือนกันอยู่แล้ว หากผลการฝึกตนของเขาก็เป็นเทพมารระดับเก้าเช่นกันละก็ ต้องไม่มีทางด้อยกว่าชายหนุ่มญาณมรณะที่อยู่ตรงหน้านี้แน่นอน แต่ทว่าผลการฝึกตนของลู่ยู่จื่อเป็นเพียงเทพมารระดับแปดขั้นสูง ดังนั้นเมื่ออยู่ภายใต้การต่อสู้กัน เขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มญาณมรณะ
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าหากชายหนุ่มญาณมรณะคนนี้ไม่ได้มาเฝ้าดูแลสุสานของประมุขเต๋าคงกระพันอยู่ที่นี่ เช่นนั้นในยุคสมัยใดยุคสมัยใดหนึ่งที่ไกลโพ้นมาก ๆ เขาก็ต้องมีตำแหน่งตัวตนในรายชื่อผู้แข็งแกร่งชั้นยอดแน่นอน!
“ประมุขเต๋าคงกระพันเป็นอาจารย์ข้า มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อข้า พวกเจ้าบังอาจบุกรุกเข้ามาในสถานนอนหลับใหลของท่านโดยพลการ เช่นนั้นก็ต้องตายสถานเดียว!”
ชายหนุ่ญาณมรณะย่างเท้าเดินอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า พลังออร่าที่มากมายมหาศาลเชี่ยวกราก ผนึกไปที่หลัวซิวและลู่ยู่จื่อทั้งสองคน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความปราณี: “จำชื่อของข้าไว้ ข้าชื่อจวินห้าวเซวียน!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น จวินห้าวเซวียนก็ลงมือโจมตีแล้ว ม่านฟ้าแห่งความตายครอบคลุมปริภูมิฟ้าดิน
“เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานแต่กลับสิ้นชีพก่อนวัยอันควร แล้วตายเป็นเพื่อนประมุขเต๋าที่ตายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายและน่าเวทนาเสียจริง!”
หลัวซิวส่ายหน้า กำลังรบทั้งร่างกายปะทุออกมาอย่างฉับพลัน “ข้าจักส่งเจ้าจากไปอย่างสงบ ให้เจ้านอนหลับใหลอยู่ ณ ที่แห่งนี้เอง!”
“ตู้ม!”
ณ วินาทีนี้ หลัวซิวระเบิดกำลังรบทั้งหมดออกมา มีเงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งที่ถูกปกคลุมอยู่ในรัศมีเทวปรากฏด้านหลังเขา และมีพลังออร่าไร้เทียมทานที่เหมือนตนยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหล้าแพร่กระจายออกมา!
และเงาลวงร่างมนุษย์ร่างนี้ก็คือจิตตั้งบู๊ของหลัวซิว วิถียุทธ์ของเขาก็คือมีเพียงวิถีข้า เป็นหนึ่งไม่เป็นสอง!
“ทะยานเซียน!”
ฟาดฟันกระบี่ร่องฟ้าออกไป แสงกระบี่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ม่านฟ้าแห่งความตายถูกฉีกกระชากออก แสงเซียนดั่งกระบี่ เฉือนสับไปทางจวินห้าวเซวียน
“ตราคงกระพัน!”
จวินห้าวเซวียนถูฝ่ามือทั้งสองข้าง แล้วประกอบเป็นวิชาตราประทับหนึ่ง แสงเซียนและชี่มรณะพุ่งชนเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเสียงฉึก ๆ ๆ
เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็มีเงาดำร่างหนึ่งกระเด็นออกไปหลายร้อยเมตร ก่อนจะพุ่งชนเข้ากับยอดเขาสีดำที่สูงใหญ่ลูกหนึ่ง ยอดเขาดังกล่าวถูกพุ่งชนจนพังทลาย แล้วเกิดเป็นฝุ่นละอองตลบฟุ้งไปทั่วนภา
“วรยุทธเซียน? ไม่ใช่สิ! หากเป็นวรยุทธเซียนข้าต้องต้านทานไม่ไหวแน่นอน สิ่งที่เจ้าปลดปล่อยออกมาคือวรยุทธเซียนที่ไม่สมบูรณ์!”
มีเสียงของจวินห้าวเซวียนสะท้อนออกมาจากกลางฝุ่นละออง ร่างเขาเดินเตร่ออกมาจากฝุ่นละออง บริเวณหน้าอกมีแผลกระบี่หนึ่งจุดที่ลึกมากจนสามารถมองเห็นกระดูก
“การที่สามารถทลายคงร่างเทวคงกระพันของข้าแล้วทำให้ข้าบาดเจ็บได้นั้น ในฟ้าดินนี้ก็มีเพียงวรยุทธเซียนเท่านั้นแล้ว”จวินห้าวเซวียนได้พูดถึงความทรงพลังของวรยุทธเซียนอย่างเป็นนัย
“วรยุทธเซียนที่ไม่สมบูรณ์?”
ลู่ยู่จื่อที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวแล้วก็รู้สึกตะลึงมากเช่นกัน แดนที่อยู่เหนือประมุขเต๋าก็คือบรรพเทพและเซียน วรยุทธเซียนที่กล่าวถึงนั้น ไม่ต้องพูดก็ทราบได้แล้วว่าต้องเป็นพลังอมตะที่เซียนผู้อยู่เหนือประมุขเต๋าริเริ่มแน่นอน!
มีเนื้องอกกำลังดิ้นไปมาอยู่บนแผลกระบี่บริเวณหน้าอกจวินห้าวเซวียน จากนั้นสภาพอาการบาดเจ็บของเขาก็แทบจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติภายในพริบตา
และนี่ก็คือคงร่างเทวคงกระพัน ซึ่งเป็นฐานร่างทรงพลังประเภทหนึ่งที่ไม่ด้อยกว่าร่างเทวไร้มลทิน ร่างเนื้อประเภทนี้แทบจะเป็นอมตะและไม่มีวันดับสลาย เมื่อนำของขวัญอย่างผู้เป็นอมตะที่หลัวซิวได้รับมาจากวัฏสงสารมาเปรียบเทียบกับมันแล้ว ก็น้อยนิดมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย
คงร่างเทวคงกระพันในตำนานแม้จะถูกโจมตีจนแตกสลายเป็นฝุ่นผงแล้ว ก็สามารถผนึกรวมและฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เป็นฐานร่างประเภทหนึ่งที่จัดการยากและเชี่ยวชาญการต่อสู้ในระยะยาวมาก ๆ
“สังหารเทพ!”
มีรัศมีเทวผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในดวงตาหลัวซิว ตัวสำนึกที่มากมายมหาศาลถาโถมออกมา พุ่งเข้าไปกลางหว่างคิ้วจวินห้าวเซวียน
นี่คือตัวหยั่งรู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยออร่าความตาย แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจคือในตัวหยั่งรู้แห่งนี้ ไม่มีช่องจิตชีวีของจวินห้าวเซวียนคงอยู่เลยด้วยซ้ำ
“พลังอมตะโจมตีวิญญาณหรือ? น่าเสียดายที่พลังอมตะประเภทนี้ไม่มีผลอะไรต่อข้า คงร่างเทวคงกระพันของข้าบรรลุถึงแดนที่วิญญาณและร่างเนื้อรวมกันเป็นหนึ่งตั้งนานแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของข้าหลอมรวมเข้ากับร่างเนื้อข้าโดยสิ้นเชิงตั้งนานแล้ว ขอแค่ร่างเนื้อของข้าไม่ดับสูญ ต่อให้เจ้าจะมีอุบายที่เหนือกว่ามากเพียงใด ก็อย่าคิดว่าจะสามารถสร้างความเสียหายให้แก่วิญญาณดั้งเดิมของข้าได้”
จวินห้าวเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น จากนั้นเขาก็ง้างมือขยำทีหนึ่ง ชี่มรณะที่ไร้ขอบเขตก็ผนึกรวมกันกลางฝ่ามือเขา แล้วกลายเป็นดาบมารที่เย็นเยือกเล่มหนึ่ง
ตั้งกระบี่ตรง มีรัศมีที่แวววาวจับตาแย้มบานออกมาจากยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ เหมือนดั่งเกราะเทพชุดหนึ่งโอบล้อมอยู่รอบกายหลัวซิว
“ตู้ม!”
เงาร่างของหลัวซิวและจวินห้าวเซวียนหายไปภายในเสี้ยววินาที ก่อนจะพุ่งชนเข้าด้วยกันในอนัตตาที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยไมล์ในวินาทีต่อไป เพียงไม่กี่ลมหายใจ ทั้งสองก็ประมือกันร้อยกว่ากระบวนท่าแล้ว
คงร่างเทวคงกระพันของจวินห้าวเซวียนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ซึ่งบรรลุถึงระดับร่างราชาเทพระดับเก้าแล้วเหมือนกัน หลัวซิวได้รับการปลุกเสกจากยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ แต่กลับไม่ได้เปรียบในการต่อสู้ในครั้งนี้เลย เนื่องจากความแข็งแกร่งของฐานร่างอย่างคงร่างเทวคงกระพัน ได้ทดแทนช่วงระยะความต่างที่แตกต่างจากยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์แล้ว
อย่างไรเสียหลัวซิวในภพชาตินี้ก็ไม่มีฐานร่างพิเศษใด ๆ แม้นลูกแก้วความเป็นตายจะได้รับอิทธิพลโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีประโยชน์แค่ในช่วงแรกของการฝึกยุทธ์เท่านั้น เมื่อมาถึงแดนอย่างปัจจุบัน ประโยชน์ของมันก็มีน้อยมากถึงมากที่สุดแล้ว
สามารถพูดได้เลยว่าหากไม่มีการปลุกเสกจากเคล็ดวิชาฎีกาค่าย พวกเขาที่อยู่ในแดนร่างราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงเหมือนกัน ร่างเนื้อของเขาก็ด้อยกว่าจวินห้าวเซวียนหนึ่งระดับเลย