มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2810 อาจารย์ในอดีตชาติ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2810 อาจารย์ในอดีตชาติ
บนชั้นสูงสุดของหอคอยเก้าชั้นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากสนามจัตุรัสกลางเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน ที่นี่มีตรีภพที่ขมุกขมัวลอยวนเป็นเกลียว มีเหล่าคนใหญ่คนโตที่มีพลังออร่าลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้นั่งท่าขัดสมาธิอยู่ที่นี่
คนใหญ่คนโตที่อยู่ภายในนี้มีเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งวังนภาสิบสอง และมีบรรพอาจารย์ของกองกำลังใหญ่ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ อยู่ด้วย
ผู้ที่สามารถขึ้นมาในตำแหน่งเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งวังนภาได้นั้น อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ส่วนบรรพอาจารย์คนอื่น ๆ ของกองกำลังใหญ่ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีสิทธิ์นั่งเคียงคู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องมีผลการฝึกตนมกุฎเทพระดับเก้า
คนใหญ่คนโตเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ย่อมไม่ได้เป็นเพราะจักชมดูการประลองอยู่แล้ว แต่เป็นการปรึกษาหารือเรื่องราวของหุบเขาตรีภพและแดนเทวบรรพอัคคี
ไม่ว่าจะเป็นบรรพยักษ์ตรีภพหรือมกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคี ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าที่อยู่ในยุคสมัยก่อนยุคไท่ชู ผู้แข็งแกร่งระดับนี้กลับชาติมาเกิด ขอแค่สามารถพัฒนาตนได้อย่างราบรื่น ใช้เวลาไม่นานก็จะกลับมามีอำนาจแห่งประมุขเต๋าใหม่อีกครั้ง ในยุคสมัยที่ไม่มีประมุขเต๋าอุบัติขึ้นมานี้ สามารถพูดได้เลยว่าจักกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน
ถึงครานั้นผู้แข็งแกร่งและกองกำลังทั้งปวงในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดล้วนต้องยอมศิโรราบต่อหน้าอานุภาพแห่งประมุขเต๋า อีกทั้งเมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพของประมุขเต๋า การที่จะบรรลุสู่ประมุขเต๋านั้น ก็จะยากมากกว่าเดิมเป็นพันเท่าแน่นอน
วังชิงเทียนโจมตีแดนเทวบรรพอัคคีมาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความเสียหาย กระทั่งบัดนี้กำลังหลักของการต่อสู้ยังคงรักษาอยู่ในระดับขั้นของราชาเทพระดับเก้า มาตรแม้นว่ามีผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่ามกุฎเทพระดับเก้า ก็เกิดการปะทะกันในวงกว้างน้อยมาก ๆ
หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่กำลังรบบรรลุถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าตลอดจนผู้แกร่งเลิศ เช่นนั้นพลังทำลายล้างในการประมือของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ สามารถพูดได้เลยว่าแทบจะเป็นการทำลายล้างฟ้าดินเลย
เฒ่าประหลาดจูโหว ศิษย์คนนี้ของเจ้าไม่เลวมากเลยนี่ อายุยังน้อยแต่ก็สามารถผนึกรวมน้ำแข็งไฟออกมาได้แล้ว”
จู่ ๆ ผู้อาวุโสที่หนวดเคราขาวหงอกก็หันไปยิ้มพลางพูดกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ภายในเวลาชั่วขณะ สายตาของคนจำนวนมากจึงร่วงลงบนตัวชายวัยกลางคนคนนั้น ส่วนตัวตนของคนดังกล่าวก็คือบรรพอาจารย์แห่งตระกูลจูโหว ซึ่งมีชีวิตคงอยู่มานานกว่าหลักร้อยล้านปีแล้ว
ตระกูลจูโหวมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เดิมทีพวกเขามีชื่อเสียงโด่งดังจากการควบคุมไฟที่ล้ำเลิศ กระทั่งมาถึงรุ่นเขา ก็ศึกษาค้นคว้าอุบายการหลอมรวมน้ำแข็งและไฟออกมาได้ จึงทำให้ชื่อเสียงของตระกูลจูโหวโด่งดังขึ้นอีกครั้ง มีชื่อเสียงและอำนาจที่ยิ่งใหญ่
ผลการฝึกตนของบรรพจารย์จูโหวนี่เป็นเพียงมกุฎเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ แต่เมื่ออาศัยอุบายในการหลอมรวมพลังแห่งน้ำแข็งไฟ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าช่วงปลาย ก็ไม่ยอมต่อกรกับเขาง่าย ๆ
“เหอะ ๆ ผู้เพื่อนยุทธ์ชมเกินไปแล้ว ศิษย์คนนี้ของข้าก็ต้องอาศัยค่ายกลเช่นกัน ถึงจะสามารถปลดปล่อยอุบายเช่นนั้นออกมาได้ ยังไม่เพียงพอที่จะพูดถึงหรอก……”
คำพูดของบรรพจารย์จูโหวถ่อมตัวมาก ทว่าทุกคนในนี้ล้วนดูออกอยู่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเขา ดูรู้สึกพึงพอใจในตัวศิษย์ตัวเองมากอย่างเห็นได้ชัด
“ตู้มม!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนมาจากใจกลางสนามจัตุรัส เสียงระเบิดดังสนั่นหู
“ดูท่าศิษย์ของเฒ่าประหลาดจูโหวคงชนะแล้ว”มีคนหัวเราะแล้วพูด
“แม้นศิษย์คนนั้นของข้าจะไร้ความสามารถ แต่การที่จะได้รับอันดับหนึ่งในสิบของการประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”บรรพจารย์จูโหวยิ้มอย่างสุขุม
ทว่าเมื่อเขาแผ่ตัวสำนึกของตัวเองออกไป กลับไม่พบเงาร่างของศิษย์ตนบนเวทีประลองยุทธ์ที่ตั้งอยู่ใจกลางสนามจัตุรัสเลย มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่เหนือศีรษะมีเตาเซียนลอยอยู่หนึ่งเตา
“หากไม่มีเตากลั่นนภาจื่อเซียว แม้แต่ร่างเนื้อของข้าเองก็ต้านทานพลานุภาพของพลังน้ำแข็งไฟได้ยากมาก ถือเป็นอุบายประเภทหนึ่งที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ”
หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว ยกมือขึ้นมาขยำทีหนึ่ง ก็ทำการกำแหวนเก็บของวงหนึ่งไว้ในมือ กวาดตามองเถ้าธุลีที่ลอยอยู่กลางนภารอบหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและใบหน้าไร้อารมณ์: “เดิมทีข้าไม่ได้จะสังหารเจ้า ทว่าเจ้ากลับคิดที่จะสังหารข้า ฉะนั้นเจ้าก็ทำได้เพียงต้องตายสถานเดียวแล้วล่ะ”
ขณะที่ถูกค่ายอัคคีน้ำแข็งสี่ด้านโจมตี ชายเตี้ยเล็กไม่มีการออมมือใด ๆ เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังพูดจาโอหังมาก ๆ ด้วยว่าโทษฐานของการรุกรานเทพธิดาทั้งสามก็คือตาย!
สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเช่นนี้ หลัวซิวจึงไม่มีการออมมือใด ๆ หลังจากเขาใช้เตากลั่นนภาจื่อเซียวต้านทานพลังโจมตีเอาไว้ได้แล้ว ก็ปลดปล่อยพลังอมตะสังหารเทพทลายตัวหยั่งรู้ของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็โยนเปลวไฟดวงหนึ่งออกไปอย่างเรื่อยเปื่อย ทำการแผดเผาร่างศพของเขาให้กลายเป็นเถ้าธุลีไปด้วย
“ไอ้ชาติชั่ว!”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะเดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์อยู่นั้น ก็มีเสียงตะคอกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟโกรธที่ล้นฟ้าดังก้องไปทั่วนภาเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน
เสียงตะคอกอันโกรธเกรี้ยวดังกล่าวได้สยบทุกคนที่อยู่บนสนามจัตุรัสกลางเมือง เนื่องจากมีพลานุภาพอันน่าสยดสยองที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ทำการปกคลุมทุกคนที่อยู่บนสนามเอาไว้
บนหอคอยเก้าชั้นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เงาร่างของบรรพจารย์จูโหวหายไปภายในพริบตา ก่อนจะปรากฏเหนือนภาสนามจัตุรัสกลางเมืองในวินาทีต่อไป
บนตัวเขามีเปลวไฟที่น่ากลัวลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป ซึ่งเปลวไฟประเภทนี้ไม่ใช่พลังเกณฑ์อัคคี แต่เป็นไฟโกรธของเขา!
เฒ่าประหลาดจูโหวที่ชอบถือหางนั่นจักอาละวาดแล้ว”
“ดูเหมือนเจ้าเด็กที่ถูกกำจัดทิ้งจะเป็นศิษย์ที่เฒ่าประหลาดจูโหวรักที่สุดแล้ว ไม่นึกเลยว่าแม้นจักยึดกุมอุบายของพลังแห่งน้ำแข็งไฟก็ยังถูกผู้อื่นกำจัดอยู่ดี เจ้าหนุ่มคนนั้นไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”
“ร่างคนดังกล่าวดูขมุกขมัว เห็นได้ชัดเจนเลยว่าได้ใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่า”
ผู้ที่อยู่บนหอคอยเก้าชั้นล้วนเป็นคนใหญ่คนโต ตอนแรกเริ่มพวกเขาไม่ได้ตั้งใจสังเกตก็แล้วไป วินาทีนี้เมื่อผนึกรวมตัวสำนึกออกไป จากนั้นก็ค้นพบพิรุธและช่องโหวตบนตัวหลัวซิวเล็กน้อย
อย่างไรเสียผลการฝึกตนของทั้งสองฝ่ายก็แตกต่างกันมากเกินไป มาตรแม้นว่าวิถีไร้ลักษณ์จักเก่งกาจมากเพียงใด ก็ทดแทนช่วงระยะความต่างของแดนผลการฝึกตนไม่ได้
บรรพอาจารย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนเพ่งมองไปทางเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งวังนภาสิบสอง กลับพบเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งวังนภาสิบสองกำลังหลับตา ไม่มีท่าทีที่จะพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ
“เหมือนชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีประลองยุทธ์นั่นจักมีนามว่าเหวิ้นเต้าสินะ? ดูเหมือนจะไม่มีฐานะและภูมิหลังที่พิเศษอะไรนะ……”
ความหมายที่แฝงซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ชัดเจนมาก ๆ แล้ว เป็นเพียงผู้น้อยที่ไม่มีภูมิหลังอะไร พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องรุกรานเฒ่าประหลาดจูโหวที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงเพราะคนประเภทนี้ จึงไม่มีผู้ใดก้าวออกไปหยุดยั้งพฤติกรรมดังกล่าวของเฒ่าประหลาดจูโหวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
บนสนามจัตุรัสใจกลางเมือง ท่าทางที่หลัวซิวจะย่างเท้าออกไปหยุดนิ่งลงไปภายในเสี้ยววินาที ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้ก้าวขาออกไป แต่เขาก้าวขาออกไปแล้ว แต่ขากลับไม่ร่วงลงพื้น
เพราะมีพลังออร่าหนึ่งที่น่าสยดสยองมากทำการผนึกตัวเขาไว้ ณ เสี้ยววินาทีที่ถูกผนึก เขาก็เริ่มเหงื่อแตกอย่างควบคุมไม่ได้ สัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์แห่งความตาย
ในโลกหล้านี้ ผู้แข็งแกร่งที่แค่ใช้การผนึกของพลังออร่าก็สามารถทำให้เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์แห่งความตายนั้น อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้า!
เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะมองเห็นบรรพจารย์จูโหวที่มีไฟโกรธลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายปรากฏกลางนภา
“ผู้น้อย มึงบังอาจสังหารศิษย์กูอย่างนั้นรึ!”น้ำเสียงของบรรพจารย์จูโหวเย็นเยือกอย่างยิ่ง แม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเพียงผู้น้อยเทพมารระดับแปดคนหนึ่งก็ตาม หากเขาลงมือด้วยตัวตนของเขา จักดูเป็นการรังแกผู้อ่อนแอมากไปหน่อย แต่นั่นเป็นศิษย์ที่เขารักที่สุดเลยนะ ยิ่งกว่านั้นคือความรักที่เขามอบให้ศิษย์คนนั้น มันมากล้นกว่าเขาปฏิบัติต่อลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองเสียอีก!
หลัวซิวแสยะยิ้มในใจอย่างควบคุมไม่ได้ ปกติมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จนประมาทพลาดท่าในเรื่องที่ไม่ควรพลาด การโผล่พรวดพราดขึ้นมาในภพชาตินี้ของเขาได้สังหารคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้จึงถูกผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนตามไล่ล่า แต่วันนี้ดูเหมือนเขาจะรอดยากแล้วล่ะ
“ไปตายซะเถอะ!”
บรรพจารย์จูโหวไม่ได้พูดจาไร้สาระเลยแม้แต่คำเดียว แม้นจะไม่มีผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ออกหน้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าเขาที่มีตัวตนเป็นบรรพอาจารย์มกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่งแต่กลับทำเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลายเป็นเรื่องวิจารณ์สนุกปากของผู้อื่นแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงรีบจบการต่อสู้ในครั้งนี้ให้เร็วที่สุดจักดีกว่า
บรรพจารย์จูโหวแค่ปลดปล่อยฝ่ามือหนึ่งกดอัดลงมา หลัวซิวก็รู้สึกราวกับมีธรรมทั้งปวงในโลกหล้ากดอัดลงมา ร่างเนื้ออันเกะกะระรานที่เขาภูมิใจนักภูมิใจหนาถูกกดอัดจนรูปร่างเปลี่ยนไปภายในพริบตา ซึ่งสามารถพังทลายแตกสลายได้ตลอดเวลา
และนี่ก็คือช่วงระยะความต่างของแดนยุทธ์ แม้นจะรู้อยู่ว่าต้องได้ตายแน่นอน เขาก็อยากทุ่มสุดกำลังสามารถ แต่กลับถูกพลานุภาพของฝ่ายตรงข้ามกดอัดจนแม้แต่นิ้วมือยังขยับไม่ได้เลย
“ตู้มม!”
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เองจู่ ๆ ท้องฟ้าของเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนก็หม่นหมองอย่างยิ่ง มีมือใหญ่ข้างหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยเหี่ยวย่นก็ฉีกกระชากอนัตตาแล้วปรากฏกะทันหัน
ณ เสี้ยววินาทีที่มือใหญ่ข้างนี้ปรากฏ เจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งวังนภาสิบสองก็บินออกมาจากหอคอยเก้าชั้น จากนั้นก็เห็นว่ามือใหญ่ข้างนั้นตบร่างบรรพจารย์จูโหวจนกระเด็นออกไป ก่อนจะกลายเป็นจุดสีดำหายไปจากขอบฟ้าโดยตรง กระทั่งมองไม่เห็นอะไรเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปไกลเท่าไหร่
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าพลานุภาพที่กดอัดร่างตนได้สลายหายไปแล้ว ร่างกายกลับมาเป็นอิสระเหมือนเคย ทั้งร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาเงยหน้ามองขึ้นไป หลังจากมือใหญ่ที่ดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชนนั่นตบบรรพจารย์จูโหวจนกระเด็นออกไปแล้ว มันก็หดกลับเข้าไปในอนัตตาใหม่
เพียงชั่วพริบตาเดียว ทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนก็เงียบเป็นเป่าสาก ทุกคนล้วนจ้องมองไปทางหลัวซิวที่ยืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ด้วยสายตาที่ดูตะลึงอย่างยิ่ง
วินาทีนี้ต่อให้เป็นคนที่โง่เขลามากเพียงใดก็คิดได้อยู่ว่า มือใหญ่ข้างนั้นที่ปรากฏกะทันหันในเมื่อครู่นี้ ต้องเป็นเพราะจะทำการช่วยเหลือคนดังกล่าวอย่างแน่นอน ไม่นึกเลยว่าชายหนุ่มที่ดูไม่มีอะไรโดดเด่นนั่น จะมีผู้แข็งแกร่งลึกลับคนหนึ่งเป็นที่พึ่งพิง!
วัยรุ่นยุคใหม่จำนวนมากต่างไม่เข้าใจ ทว่าบุคคลที่อาวุโสกว่าหนึ่งรุ่นกลับทราบความแข็งแกร่งของบรรพจารย์จูโหวอยู่ การที่สามารถตบบรรพจารย์จูโหวจนกระเด็นออกไปภายในฝ่ามือเดียวได้นั้น ต้องมีศักยภาพที่แข็งแกร่งมากเพียงใดกันนะ? อย่างน้อยก็ต้องเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าหรือเปล่า?
“การประลองยุทธ์ยังคงดำเนินต่อไป”
กระทั่งนิ่งเงียบอยู่นานมาก เสียงดังกล่าวถึงจะดังก้องอยู่ข้างหูทุกคน และผู้พูดก็คือเจ้าศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนนั่นเอง
ร่างกายของเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งวังนภาสิบสองล้วนถูกปกคลุมอยู่ในรัศมีเทว ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา ออร่าพลังเต๋าอันแข็งแกร่งที่ลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายยิ่งทำให้ผู้คนเคารพยำเกรง
แต่หลัวซิวกลับเหมือนสัมผัสได้ว่ามีตัวสำนึก 12 ดวงกวาดผ่านตัวเองอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่นี้ ทำให้เขาได้รับความสนใจจากเจ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 12 แห่งวังนภา
อันที่จริงแม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็รู้สึกงุนงงมากเช่นกัน เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าตัวเองไม่มีที่พึ่งพิงอะไรนั่นเลยด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมีคนลงมือช่วยเหลือตน?
การประลองยุทธ์ยังคงดำเนินการต่อไป และหลังจากผ่านการแข่งขันรอบคัดเลือกในรอบถัดไป สุดท้ายก็กำเนิดโควต้าหนึ่งในสิบ ซึ่งหนึ่งในนั้นย่อมต้องมีหลัวซิวด้วยอยู่แล้ว
“อาจารย์ นั่นคือท่านหรือ?”
จู่ ๆ ก็มีเงาหลังหนึ่งที่เลือนรางปรากฏในหัวหลัวซิว ซึ่งเงาหลังดังกล่าวก็คือเงาหลังที่เขามองเห็นในภาพม้วนครั้นเมื่ออยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณ ขณะที่เขามองเห็นเงาหลังดังกล่าว เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าเจ้าของเงาหลังนั่นต้องเป็นอาจารย์เมื่ออดีตชาติของตัวเองแน่นอน
หากถามว่าเขายังรู้จักผู้แข็งแกร่งแห่งโลกสวรรค์อีกหรือไม่ เช่นนั้นอาจารย์เมื่ออดีตชาติต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน เนื่องจากครั้นเมื่ออยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณ เขาก็ทราบแล้วว่าอาจารย์เขาบุกฆ่าเข้ามาในโลกสวรรค์ตัวคนเดียว!
ไม่มีผู้ใดให้คำอธิบายแก่เขา ดังนั้นหลัวซิวก็ยังคงรู้สึกสงสัยมาก ๆ หากผู้ที่ลงมือช่วยเหลือเขาคืออาจารย์ตน เช่นนั้นอาจารย์เขาต้องทราบความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์เมื่ออดีตชาติของพวกเขาแล้วแน่นอน ทว่าเหตุใดอาจารย์จึงไม่ปรากฏตัวล่ะ?
“ท่านชาย จะได้ไปสถานแหล่งเต๋าแล้วนะเจ้าคะ”จู่ ๆ เสียงของฮู๋ชิงชิงก็ลอยมา ทำให้หลัวซิวดึงตัวเองกลับมาจากความคิด
สำหรับตัวตนของผู้แข็งแกร่งลึกลับนั่น ฮู๋ชิงชิงไม่ได้ถามอะไรมากนัก นางก็มองเห็นความงุนงงและความสงสัยของหลัวซิวเช่นกัน นางนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีความสับสนเสี้ยวหนึ่งปรากฏในแววตาของท่านชายที่สุขุมเรียบนิ่ง ฉลาดเป็นกรดมาโดยตลอด