มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2817 ปะทะกับเทพธิดาทั้งสอง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2817 ปะทะกับเทพธิดาทั้งสอง
หลัวซิวไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะปะทะกับลู่เมิ่งเหยาที่นี่ อีกทั้งนอกเหนือจากลู่เมิ่งเหยาแล้ว ยังมีศิษย์อีกสามคนของหอมกุฎดาบด้วย
ซึ่งในจำนวนนี้มีศิษย์พี่ใหญ่ยี่หนิงจูและศิษย์พี่รองยู่หานเซียงที่เป็นเทพธิดาทั้งสามด้วย รวมไปถึงชายหนุ่มผู้มีนามว่าจวินจือเตาที่วางแผนจะซื้อฝักดาบหวูชวงในก่อนหน้านี้
หลังจากผ่านการแย่งชิงและเข่นฆ่าบนภูเขาแหล่งเต๋าทั้งสองครั้ง เดิมทีมีอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศเข้ามาที่นี่ทั้งหมด 33 คน ปัจจุบันเมื่อรวมผู้ดับสลายสูญสิ้นบาดเจ็บสาหัสและผู้หลบหนีเข้าด้วยกัน ก็เหลือเพียง 16 คนที่ยังอยู่ฝั่งภูเขาแหล่งเต๋าแล้ว
ทั้งสี่คนแห่งหอมกุฎดาบไม่มีคนดับชบสลายสูญสิ้นเลย สามารถพูดได้เลยว่าเป็นผลการรบที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นมาก ๆ เนื่องจากมาตรแม้นว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดแห่งวังนภาสิบสองที่ดับสลายสูญสิ้นไปหลายคนแล้ว สิงซาแห่งวังสิงเทียนยิ่งถูกหลัวซิวบีบจนต้องหลบหนี
ฮู๋ชิงชิงก็กำลังจับแขนเสื้อหลัวซิวด้วยความประหม่าเล็กน้อย ความประหม่านี้ของนางไม่ใช่ความเกรงกลัวแต่อย่างใด แต่เป็นความกังวล
อีกทั้งผู้ที่นางกังวลไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นลู่เมิ่งเหยาที่กำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้
ไม่ว่าจะเป็นนางหรือหลัวซิว ต่างก็ไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลู่เมิ่งเหยากันแน่
หลัวซิวตบ ๆ มือของฮู๋ชิงชิง ใช้สายตาบอกใบ้ให้นางไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นเขาก็ลุกตัวขึ้น แล้วเดินออกไปจากภูเขาแหล่งเต๋าที่สี่
เมื่อเห็นหลัวซิวเดินออกมา จวินจือเตาก็ทำเสียงหึอยากเยือกเย็นทีหนึ่ง ภายในแววตามีจิตสังหารที่ไม่มีการปิดบังเลยแม้แต่น้อย เขาย่อมไม่มีทางลืมผู้ที่แก่งแย่งฝักดาบลึกลับนั่นไปอยู่แล้ว
“ออกจากภูเขาลูกนี้”
ลู่เมิ่งเหยาหกระเหินเดินฟ้ามา กงล้อเทพดวงแสงสองวงใหญ่มหึมาจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ทำให้คนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่เฉียบคมและดุดันอย่างยิ่ง
หลัวซิวเขม็งมองนาง สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกยาว “เจ้าลืมโลกแสงดาวแล้วจริง ๆ หรือ?”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เงาร่างของหลัวซิวก็ปรวนแปรกะทันหัน เปลี่ยนเป็นรูปร่างลักษณะของร่างแท้
เขาใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่ามาโดยตลอด ปัจจุบันแม้นรูปร่างลักษณะที่เขาเปลี่ยนแปลงออกมาจักแตกต่างจากครั้นเมื่ออยู่ในโลกแสงดาวเล็กน้อยก็ตาม แต่เขาเชื่อว่าขอแค่เป็นผู้ที่คุ้นเคยตน ก็จะไม่มีทางจำไม่ได้
“เจ้าคือ……”
หลังจากหลัวซิวเผยให้เห็นร่างแท้แล้ว เหล่าอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากที่ให้ความสนใจกับถานการณ์ทางฝั่งนี้ก็ต่างแสดงสีหน้างุนงง
สำหรับผู้ที่มีนามว่าเหวิ้นเต้านี้ ไม่มีผู้ใดทราบความจริงที่เกี่ยวข้องกับเขาเลยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ก็มีคนฉลาดที่สามารถคาดคะเนได้ลาง ๆ เช่นกันว่าเหวิ้นเต้าเป็นเพียงชื่อปลอม คนดังกล่าวน่าจะยังมีตัวตนอื่น ซึ่งไม่ใช่บุคคลต่ำต้อยไร้ชื่ออย่างแน่นอน
ถึงแม้โลกสวรรค์จะไม่ได้คบค้าสมาคมกับโลกมหาศักดิ์อื่น ๆ มายาวนานมาก ทว่าสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเจ็ดโลกมหาศักดิ์ที่เหลือนั้น ช่องทางข่าวคราวของโลกสวรรค์ก็รวดเร็วมากอยู่
ซึ่งในจำนวนข่าวคราวทั้งหมด ย่อมต้องมีข่าวคราวที่มีความเกี่ยวข้องกับร่างที่ไท่ซ่างผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดอยู่แล้ว
“ข้ารู้แล้ว! คนดังกล่าวมีนามว่าหลัวซิว เล่ากันว่าเขาเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงเมื่อหนึ่งยุคตรีภพก่อนกลับชาติมาเกิด!”
“ไท่ซ่างฉิง? ชายผู้บรรลุเป็นผู้สูงส่งคนแรกในฟ้าดินหลังจากสิ้นสุดยุควัฏสงสารนั่นหรือ?”
ผู้ที่สามารถเข้ามาในสถานแหล่งเต๋าได้นั้น ล้วนเป็นอัจฉริยะที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด สำหรับเรื่องราวหลายอย่างที่คนทั่วไปไม่ทราบ พวกเขาก็ล้วนรับรู้และได้ฟังอยู่บ้าง
ในยุคมหาศักดิ์ช่วงต้นเมื่อหนึ่งยุคตรีภพก่อน ชื่อไท่ซ่างฉิงมีอิทธิพลอย่างมาก แม้นในกาลเวลาช่วงหลังจะมีผู้สูงส่งตลอดจนผู้แกร่งเลิศอุบัติขึ้นมาเยอะมาก แต่กลับไม่มีรัศมีของคนใดสามารถกลบเกลื่อนชื่อของไท่ซ่างฉิงได้โดยสิ้นเชิง
เขาคือคนแรกที่บรรลุสู่แดนผู้สูงส่งหลังจากสิ้นสุดยุควัฏสงสาร และเป็นคนเดียวที่ถูกประเมินค่าว่าเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาล อัจฉริยะไร้เทียมที่มีความปราดเปรื่องเป็นหนึ่งไม่เป็นรอง
“โลกแสงดาวหรือ? เจ้าคือหลัวซิวหรือ? ข้าลืมเรื่องเหล่านั้นไปตั้งนานแล้ว”
คำตอบของลู่เมิ่งเหยาเย็นชามาก ราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแสงดาวล้วนถูกนางมองเป็นเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้ว ราวกับเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง
หลัวซิวเขม็งมองดวงตาของหลัวซิวตลอด เขามองคลื่นความรู้สึกใด ๆ จากแววตาที่งดงามคู่นั้นไม่ได้จริง ๆ ราวกับนางเป็นดาบที่เย็นชาเล่มหนึ่ง ซึ่งตัดอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างที่เป็นของมนุษย์ทิ้งไปตั้งนานแล้ว
“ร่างที่ผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดอย่างนั้นหรือ? มิน่าล่ะถึงบังอาจแก่งแย่งสิ่งที่ข้าต้องตา แต่ไม่ว่าความเป็นมาของมึงจะเป็นอย่างไร สุดท้ายมึง ณ ปัจจุบันก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยที่แม้แต่เทพมารระดับเก้ายังบรรลุไม่ถึงเท่านั้นแหละ!”
จวินจือเตาทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง จากนั้นกงล้อเทพทั้งสองวงที่อยู่หลังศีรษะเขาก็เลื่อนขึ้น คุณภาพของกงล้อเทพสองวงนี้คือชั้นสูง ถึงแม้จะไม่แข็งแกร่งปานกงล้อเทพที่ลู่เมิ่งเหยาผนึกรวมออกมาได้ แต่ก็ดูถูกไม่ได้เช่นกัน
“มึงอยากตายหรือ?”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุดคู่นั้นของหลัวซิวก็กวาดมองไปทางจวินจือเตา นิสัยอารมณ์ของลู่เมิ่งเหยาเปลี่ยนไปอย่างมาก จึงทำให้อารมณ์หลัวซิวย่ำแย่อย่างยิ่ง แต่เวลานี้ไม่นึกเลยว่าจะมีคนกล้ามาเอะอะโวยวายข้างหูเขา
“ช่างโอหังยิ่งนัก!”
ยี่หนิงจูตวาดเสียงเบา มีจิตสังหารเสี้ยวหนึ่งกระพริบอยู่ในดวงตาที่งดงามคู่นั้น ครั้นเมื่ออยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน นางก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าศักยภาพของคนดังกล่าวจะแข็งแกร่งเช่นนี้
“มึงก็คือหนึ่งในเทพธิดาทั้งสามสินะ? เมื่อเทียบกับการบอกว่าเป็นเทพธิดา จักดีกว่าหากบอกว่ามึงเป็นมารสาว เริ่มตั้งแต่การประลองยุทธ์ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน ก็มีพวกขี้เรื้อนจำนวนมากอยากออกหน้าแทนมึงอย่างไม่หยุดหย่อน สุดท้ายก็โดนกูกระทืบจนบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ตายอยู่ในเงื้อมมือกู ผู้คนในโลกต่างกล่าวว่านารีเป็นเหตุ คนที่หมายถึงคือคนอย่างมึงสินะ”ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นสตรีนางหนึ่ง คำพูดคำจาของหลัวซิวก็ไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย
“โอหัง!”จวินจือเตาโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ก่อนจะตะคอกด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน :“แม้นมึงจักโค่นล้มสิงซาได้ แต่ก็อย่าริอ่านมาจองหองพองขนต่อหน้าศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้ของอีกหนึ่งปีภายหน้าก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของมึง!”
“ตู้มม!”
พลังออร่าที่อยู่บนตัวระเบิดจวินจือเตา ในยุคปัจจุบันผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของหอมกุฎดาบก็คือเทพธิดาทั้งสาม การที่สามารถเข้ามาในสถานแหล่งเต๋าพร้อมกับเทพธิดาทั้งสามได้นั้น เขาย่อมต้องเป็นผู้โดดเด่นในหมู่วัยรุ่นของหอมกุฎดาบอยู่แล้ว
ห้วงดาบที่มากมายมหาศาลกลายเป็นพลังออร่าแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามจังหวะอยู่บนตัวจวินจือเตา ส่วนกงล้อเทพดวงแสงของเขาก็ผนึกรวมกันอย่างไม่หยุดหย่อน ก่อนจะกลายเป็นกงล้อดาบสองวง กดอัดไปทางหลัวซิวจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ไม่ต้องพูดอะไรมาก ลงมือสังหารคนดังกล่าวพร้อมกัน!”ยี่หนิงจูพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น นางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าในเมื่อชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้สามารถโค่นล้มสิงซาได้ แสดงว่าต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปแน่นอน ใช่ว่าจวินจือเตาจะเป็นคู่ต่อสู้เสมอไป
ยู่หานเซียงยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นเทพธิดาทั้งสองก็ต่างพากันลงมือเช่นกัน ในระหว่างที่โบกมือทีหนึ่งกงล้อเทพดวงแสงก็ปรากฏ ยี่หนิงจูผนึกรวมกงล้อเทพดวงแสงออกมาสามวง ส่วนยู่หานเซียงผนึกรวมได้สองวง
แต่ทว่าสตรีทั้งสองนางนี้ก็สมกับผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นเทพธิดาจริง ๆ ภายในกงล้อเทพดวงแสงที่พวกนางผนึกรวมออกมา คุณภาพของกงล้อเทพหนึ่งวงยิ่งบรรลุถึงระดับสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนพุ่งสังหารเข้ามาทางตัวเอง ความรู้สึกบนใบหน้าหลัวซิวกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงเขาใช้จิตนึกคิดทีหนึ่ง กงล้อเทพไร้ลักษณ์ก็ปรากฏหลังศีรษะเขา รัศมีเทวที่ตระการตาอย่างยิ่งแย้มบานออกมาภายในพริบตา สว่างแพรวพรายชั่วนิจนิรันดร์!
ภายใต้การสาดส่องจากรัศมีเทวที่ตระการตา กงล้อเทพเจ็ดวงที่กดอัดสังหารเข้ามาล้วนถูกทำให้หยุดนิ่งอยู่กลางนภา
หลังจากวิถีไร้ลักษณ์ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้แล้ว มันก็บรรลุถึงขั้นที่สามารถส่งผลกระทบต่อเกณฑ์ทั้งปวงในโลกได้
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น กงล้อเทพสองวงของจวินจือเตาถูกกำปั้นเขาโจมตีจนแตกสลายภายในพริบตา จวินจือเตาก็กระอักเลือดคาที่ แล้วกระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวน
กงล้อเทพเป็นสิ่งที่ผนึกรวมออกมาจากวิถีของจอมยุทธ์ เมื่อกงล้อเทพถูกโจมตีจนแตกสลายก็เท่ากับฐานยุทธ์ได้รับบาดเจ็บ แม้นจะสามารถผนึกรวมกงล้อเทพกลับคืนมาใหม่ได้ก็ตาม ทว่าการที่จะฟื้นฟูความเสียหายบนฐานยุทธ์ประเภทนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย
“เวิ่ง!”
ขณะที่หลัวซิวลงมือ จู่ ๆ ก็มีกงล้อเทพสองวงหลุดพ้นจากการกดอัดของกงล้อเทพไร้ลักษณ์ ซึ่งกงล้อเทพทั้งสองวงนี้ก็คือกงล้อเทพสมบูรณ์แบบที่ยู่หานเซียงและยี่หนิงจูต่างผนึกรวมออกมา
ตามหลักทฤษฎี การที่คุณภาพของกงล้อเทพบรรลุถึงระดับสมบูรณ์แบบก็ถือเป็นขีดสูงสุดแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ศักยภาพผลการฝึกตนแตกต่างกันไม่มาก กงล้อเทพไร้ลักษณ์ของหลัวซิวสามารถกดอัดกงล้อเทพชั้นสูงได้อย่างง่ายดาย ทว่าผลกระทบที่มีต่อกงล้อเทพสมบูรณ์แบบกลับน้อยนิดมาก
กงล้อเทพทั้งสองวงเฉือนสับเข้ามา กงล้อเทพทุกวงล้วนประกอบมาจากแสงดาบที่นับไม่ถ้วน พลังแห่งการสังหารปราบปรามน่าทึ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถเทียบทัดพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าได้แล้ว
“ตราต้าฮวง!”
ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์รอบกายสว่างขึ้น ลายเส้นของธรรมเวชกาลร้างทั้งหลายปรากฏบนผิวหนังชั้นนอก แล้วกลายเป็นพลังเต๋าที่ล้ำลึกไหลเวียนไปทั่ว หลัวซิวใช้มือทั้งสองข้างประสานอิน แล้วพุ่งตรงเข้าไปอย่างเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ตราต้าฮวงเป็นพลังอมตะร่างเนื้อที่ริเริ่มออกมาจากธรรมเวชกาลร้าง ถึงแม้จะเทียบเคียงกับตราประทับหงฮวงที่ผ่านการวิวัฒนาการในภายหลังไม่ได้ ทว่าพลานุภาพก็ไม่ธรรมดามาก ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับพลังอมตะระดับผู้สูงส่งขั้นสุดยอดได้แน่นอน
กลางนภา เพียงพริบตาเดียวหลัวซิวที่ใช้ตราต้าฮวงก็พุ่งชนเข้ากับกงล้อเทพดวงแสงทั้งสองวงไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว เงาร่างอ่อนช้อยที่สวมใส่ผ้าคลุมหน้ายืนอยู่บนกงล้อเทพ ภายใต้การปลุกเสกของกงล้อเทพ พลังอมตะวิถีดาบต่าง ๆ นานาพุ่งสังหารเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน พลังชี่มากมายมหาศาล
การที่สามารถได้รับสมญานามเทพธิดาทั้งสามในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ได้นั้น ศักยภาพของยี่หนิงจูและยู่หานเซียงแข็งแกร่งมากจริง ๆ หลังจากผนึกรวมกงล้อเทพในภูเขาแหล่งเต๋าได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลการฝึกตนหรือศักยภาพ ต่างได้รับการยกระดับอย่างมาก คุณภาพของกงล้อเทพที่ยี่หนิงจูนั่นผนึกรวมออกมาได้ยิ่งอยู่เหนือสิงซา
สามารถพูดได้อย่างไม่เกรงใจเลยว่าหากสิงซาไม่ได้กำเนิดจากวังสิงเทียน หากพลังอมตะและวรยุทธ์ที่เขาฝึกไม่ใช่ระดับประมุขเต๋า เช่นนั้นยี่หนิงจูต้องแข็งแกร่งกว่าสิงซาแน่นอน
น่าเสียดายที่ในการถ่ายทอดสืบสานของหอมกุฎดาบไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าอุบัติขึ้นมาก่อน วิชาจิตและพลังอมตะวิถีดาบที่ทรงพลังที่สุดก็เป็นเพียงขั้นสุดยอดของระดับผู้สูงส่ง
มาตรแม้นว่าระหว่างผู้แกร่งเลิศและประมุขเต๋าจะห่างกันเพียงเสี้ยวเดียว แต่ภายในกลับมีช่วงระยะความต่างของแก่นแท้ จึงส่งผลให้ยี่หนิงจูที่มีพรสวรรค์ปัญญาสูงกว่าหนึ่งระดับ ด้อยกว่าผู้สืบทอดแห่งวังนภาสิบสอง
แค่อาศัยตราต้าฮวง หลัวซิวต่อสู้ในระยะยาวแต่กลับไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าหลังจากเขาปลดปล่อยตราประทับหงฮวงหรือตราล้นร้างออกมาแล้ว หอคอยฮวงและเตาเพลิงก็ปรากฏกลางนภา ความล้ำลึกของธรรมเวชหงฮวงตัดสลับกันอยู่กลางฝ่ามือเขา แล้วกลายเป็นวิชาตราประทับหนึ่ง
“ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……”
เพียงประจันหน้ากันครั้งเดียว ยี่หนิงจูและยู่หานเซียงร่วมมือกันแต่กลับต้านทานพลานุภาพของตราประทับหงฮวงไม่ได้ ทั้งคู่กระเด็นออกไป กงล้อเทพสั่นเทิ้มจนเสียงดังหึ่ง ๆ กงล้อเทพคุณภาพชั้นสูงที่ทั้งคู่ต่างผนึกรวมออกมายิ่งมีท่าทีที่จะแตกสลายแล้ว นี่จึงทำให้สีหน้าของสตรีทั้งสองนางต่างเปลี่ยนแปลงไป
ต้องท้าวความก่อนว่าแม้นผลการฝึกตนของพวกนางทั้งสองคนจะเป็นเทพมารระดับเก้าช่วงกลางและช่วงปลาย ทว่าเนื่องจากวิชาจิตและพลังอมตะของหอมกุฎดาบเชี่ยวชาญการต่อสู้และการฆ่าปราบปราม ศักยภาพที่แท้จริงจึงสามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้าช่วงปลายตลอดจนขั้นสูงได้อย่างแน่นอน
ศักยภาพระดับนี้ร่วมมือกัน แต่กลับสู้หลัวซิวคนเดียวไม่ไหว ศักยภาพของเจ้าหมอนี่เกะกะระรานถึงขั้นที่ทำให้ผู้คนขนหัวลุกซู่แล้วจริง ๆ
หากอยู่ในช่วงที่ยังผนึกรวมกงล้อเทพออกมาไม่ได้ แม้นหลัวซิวจักทำอย่างวินาทีนี้ได้ แต่ก็ไม่มีทางสบายเช่นนี้แน่นอน ทว่าหลังจากเขาผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้แล้ว ไม่เพียงแค่ความล้ำลึกของวิถีไร้ลักษณ์ที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือผลการฝึกตนพลังที่อยู่ภายในร่างกายเขาแปรเปลี่ยนวิวัฒนาการเป็นแรงเต๋าแดนมกุฎแล้ว
ใช้แรงเต๋าแดนมกุฎกระตุ้นพลังอมตะ ทำให้พลานุภาพเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ผู้ที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎเทพระดับเก้า มีน้อยคนมากที่สามารถต้านทานพลังโจมตีของเขาเอาไว้ได้