มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2818 ความทรงจำของลู่เมิ่งเหยา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2818 ความทรงจำของลู่เมิ่งเหยา
ขณะที่หลัวซิวต่อสู้กับยี่หนิงจูและยู่หานเซียง ลู่เมิ่งเหยายืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลตลอดมา กงล้อเทพดวงแสงสมบูรณ์แบบที่ใหญ่โตมโหฬารทั้งสองวงก็ไม่มีท่าทีที่จะเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ศิษย์ร่วมสำนักตนจะถูกโจมตีจนบาดเจ็บ สีหน้าอารมณ์ของนางก็ยังคงสุขุมเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย ไม่มีคลื่นความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
หลังจากผ่านการสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ ณ วินาทีนี้ของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวมีการคาดคะเนลาง ๆ แต่ทว่าตกลงความจริงเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีทางทราบได้โดยการคาดคะเนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงไปพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง
“เวิ่ง!”
อนัตตาสั่นเทิ้ม เมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวซิว การขวางกั้นของปริภูมิก็เหมือนดั่งความว่างเปล่า เงาร่างเขามาถึงตรงหน้าลู่เมิ่งเหยาภายในพริบตา
ลู่เมิ่งเหยาเย็นชาไร้อารมณ์ เห็นเพียงนางยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วจิ้มลง ก็มีแสงดาบสองดวงพุ่งออกมาจากกงล้อเทพที่ใหญ่โตมโหฬารสองวง ในขณะเดียวกันกงล้อเทพของจริงก็กดอัดลงมาด้วย
“สังหารเทพ!”
มีแสงมืดที่ลึกซึ้งปรากฏในแววตาหลัวซิว ก่อนจะมีพลังตัวสำนึกที่มากมายมหาศาลพุ่งเบียดเสียดกันออกมาภายในพริบตา ใช้อำนาจทลายทุกสรรพสิ่งที่ขวางกั้น แล้วพุ่งเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของลู่เมิ่งเหยา
ตัวหยั่งรู้ได้รับการกระทบ แนวโน้มที่กงล้อเทพดวงแสงจะกดอัดลงมาก็หยุดลงกะทันหัน ทั้งสองลอยอยู่กลางอากาศแล้วประจันหน้ากัน ส่วนจิตสำนึกของทั้งสองต่างถูกฉุดดึงเข้าไปในโลกพลังจิตของตัวหยั่งรู้แล้ว
ตัวหยั่งรู้ของลู่เมิ่งเหยาคือโลกาปริมภูมิที่ผนึกรวมออกมาจากแสงดาบ เนื่องจากฝึกเกณฑ์วิถีดาบ ตัวสำนึกวิญญาณทุกดวงของนางล้วนเหมือนดังรังสีดาบ และตรงใจกลางตัวหยั่งรู้แห่งนี้ ช่องจิตของนางก็เป็นรูปร่างลักษณะของรังสีดาบเช่นกัน มีแสงสีขาวที่แยงตาสาดส่องออกมา
การที่หลัวซิวปลดปล่อยพลังอมตะวิญญาณเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของลู่เมิ่งเหยานั้น ย่อมไม่ได้เป็นเพราะจะทำร้ายนางอยู่แล้ว เขามาที่นี่เพื่อสอดแนมความทรงจำในตัวหยั่งรู้ อยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลู่เมิ่งเหยากันแน่
ไร้รูปไร้ลักษณ์ หลังจากเข้ามาตัวหยั่งรู้แล้ว ตัวสำนึกวิญญาณของหลัวซิวก็กลายเป็นร่างมนุษย์ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาใช้ญาณเทวร่างมนุษย์ของตัวเอง จุติลงมาในตัวหยั่งรู้ของลู่เมิ่งเหยาโดยตรง
ณ เสี้ยววินาทีที่ญาณเทวหลัวซิวปรากฏ รังสีดาบอันนับไม่ถ้วนที่ผันมาจากตัวสำนึกวิญญาณก็พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามา มืดฟ้ามัวดิน
แม้นจะอยู่ในสภาวะญาณเทว หลัวซิวก็ยังคงสามารถอาศัยไร้ลักษณ์วิวัฒนาการวิถีนับหมื่น ตลอดจนปลดปล่อยพลังอมตะออกมาได้อยู่ดี เห็นเพียงมีหอคอยฮวงสีทองหลังหนึ่งปรากฏเหนือศีรษะเขา รังสีดาบที่นับไม่ถ้วนโจมตีพุ่งชนเข้ากับหอคอยฮวง แล้วเกิดเป็นเสียงที่ดังกังวานและเต็มไปด้วยพลัง
ในด้านแดนและระดับขั้นของตัวสำนึกวิญญาณ หลัวซิวล้วนแข็งแกร่งกว่าลู่เมิ่งเหยามาก ๆ ดังนั้นเขาแค่อาศัยการป้องกันของพลังอมตะหอคอยฮวง ก็มาถึงศูนย์กลางตัวหยั่งรู้แสงดาบแห่งนี้ได้อย่างง่ายดายแล้ว
ช่องจิตดวงหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนดาบแวววาวจับตาอย่างยิ่ง และด้านบนของช่องจิตดวงดังกล่าวมีแม่น้ำยาวสายหนึ่งที่ตระการตา คลื่นแสงใสแจ๋ว และจะมีภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ปรากฏบนสายน้ำดังกล่าวอยู่เป็นระยะ
สายน้ำยาวดังกล่าวอยู่ในตัวหยั่งรู้ อยู่เคียงคู่กับวิญญาณดั้งเดิม และถูกเรียกว่าห้วงวนความทรงจำ
แสงดาบที่นับไม่ถ้วนยังคงโจมตีหลัวซิวอยู่เช่นเคย แต่ทว่าลู่เมิ่งเหยาไม่ชำนาญพลังอมตะโจมตีวิญญาณแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่สามารถทำให้เกราะป้องกันของพลังอมตะหอคอยฮวงสั่นคลอนได้เลยด้วยซ้ำ
ในขณะที่ปล่อยตัวสำนึกดวงหนึ่งออกไปหวังจะสอดแนมห้วงวนความทรงจำอยู่นั้น จู่ ๆ ช่องจิตรูปดาบนั่นก็เคลื่อนไหวแล้ว
ช่องจิตกลายเป็นลักษณะของดาบเล่มหนึ่ง ซึ่งเท่ากับอาวุธเทพโจมตีวิญญาณที่รวดเร็วและเฉียบคมอย่างยิ่งหนึ่งเล่ม แสงดาบดวงหนึ่งแพรวพรายดั่งเสา พุ่งสังหารเข้ามาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ตู้มม!”
หอคอยฮวงสีทองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลานุภาพของการโจมตีในครั้งนี้เกะกะระรานจนน่ากลัว แทบจะทลายเกราะป้องกันของพลังอมตะหอคอยฮวง
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย โบกมือแล้วใช้วิถีไร้ลักษณ์ปลดปล่อยพลังอมตะของเกณฑ์ธรรมต่าง ๆ นานาออกมาอีกครั้ง ระฆังเซียนลูกหนึ่งสั่นเทิ้ม ปริภูมิสั่นกระเพื่อมขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วทลายพลังโจมตีทั้งปวงไป
มีประตูเต๋าบานหนึ่งลอยขึ้นมาอีกครั้ง แล้วดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง ทำให้พลังโจมตีทั้งปวงกลายเป็นไร้รูป
สวรรค์ใต้ดินเสวียนเหลือง จักรวาลจักรภพท่วมท้นร้าง ธรรมดั้งเดิมทั้งแปดประเภทที่คนในโลกค่อนข้างคุ้นเคยล้วนถูกหลัวซิวปลดปล่อยออกมา ถึงแม้เขาจะไม่เคยได้สัมผัสกับอัญมณีดั้งเดิมอื่น ๆ แต่ก็เคยตระหนักรู้ความล้ำลึกของธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ในหอคอยนภากาศอยู่
ใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการสรรพวิชา ก็เหมือนกับการปลดปล่อยพลังอมตะของตราสรรพสิทธิ์ แต่ทว่าเขาไม่ได้ใช้พลังงานอมตะวิชานี้มาโจมตีปราบปราม แต่ใช้มาป้องกัน พลังอมตะวิชาหนึ่งก็วิวัฒนาการพลังอมตะป้องกันนับหมื่นวิชาออกมาแล้ว
เมื่อมีการป้องกันของพลังอมตะเหล่านี้ ถึงแม้พลังโจมตีของช่องจิตรูปดาบนั่นจักทรงพลังมาก แต่ก็อย่าคิดว่าจะสามารถทลายเกราะป้องกันของเขาภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ ดังนั้นหลัวซิวจึงปลดปล่อยตัวสำนึกดวงหนึ่งออกไปกะทันหัน แล้วทิ่มแทงเข้าไปในห้วงวนความทรงจำของลู่เมิ่งเหยา!
เพียงพริบตาเดียว ความทรงจำต่าง ๆ ในอดีตที่นับไม่ถ้วนก็ปรากฏตรงหน้าหลัวซิว อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขามองเห็นในความทรงจำล้วนเป็นเรื่องราวที่ลู่เมิ่งเหยาพบเจอหลังจากเข้าร่วมหอมกุฎดาบ ในส่วนของความทรงจำในอดีตของนางนั้น มีเพียงรายชื่อบางส่วนและข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ประสบการณ์ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตล้วนหายไปแล้ว!
“ถูกผนึกไปแล้วหรือ?”
ตัวสำนึกของหลัวซิวเข้าไปยังส่วนที่ลึกกว่าของห้วงวนความทรงจำ แต่กลับไม่พบผนึกใด ๆ เขาเห็นเพียงความทรงจำเล็กน้อยที่อยู่ในมุมมืดของห้วงวนความทรงจำ
ความทรงจำเหล่านี้มีชีวิตในวัยเด็กของลู่เมิ่งเหยา อดีตนางเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักสำนักเซียวเหยา มีสภาพแวดล้อมที่ดีเลิศมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งขนาดที่ฝึกยุทธ์ก็แสดงพรสวรรค์ที่โดดเด่นออกมาเช่นกัน ความเร็วในการข้ามขั้นเร็วปานเทพเจ้า
กระทั่งนางป่วยเป็นโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก นางไม่สามารถฝึกตนได้อีกแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือผลการฝึกตนก็ร่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง พ่อนางวนไปทั่วทุกสารทิศเพื่อนาง แต่กลับไม่พบหนทางในการรักษาโรคประเภทนี้ตลอดมา
นางค่อย ๆ นิ่งเงียบไม่สุงสิงกับผู้ใด เพื่อเป็นการไม่ให้พ่อตนกังวลและทำงานอย่างหนักเพื่อตัวเองมากเกินไป นางจึงออกจากสำนักเซียวเหยา มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหยุน ไปเป็นคุณครูสอนหนังสือธรรมดา ๆ ในสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุน
เดิมทีนางที่รู้สึกสิ้นหวังแล้วไม่นึกเลยว่าชีวิตนี้จะได้พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองชิงหยุน นางได้พบเจอกับผู้ชายที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตนางที่นี่ ถึงแม้ขณะที่รู้จักกันเขาจะยังคงเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทว่านอกจากพ่อแล้ว คนดังกล่าวกลับเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตนาง
เมื่อหลัวซิวมองเห็นความทรงจำในช่วงนี้ของนาง จิตใจเขาก็สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาต้องรู้เป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าคนดังกล่าวคือผู้ใด ซึ่งคนดังกล่าวก็คือเขาครั้นเมื่อยังเป็นเด็กหนุ่มนั่นเอง
ในชั่วชีวิตนี้ของลู่เมิ่งเหยาเต็มไปด้วยอุปสรรค รู้สึกสิ้นหวังต่อโรคชีพจรขาดธาตุไฟ กระทั่งกลับมามีความหวังใหม่อีกครั้ง แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันอีกครั้ง ในศึกการช่วงชิงเจ้าสำนักเซียวเหยา นางทอดทิ้งโอกาสที่จะได้อยู่ร่วมกันกับหลัวซิวเพราะท่านพ่อนาง
เดิมทีเรื่องนี้ก็ทำให้นางรู้สึกเสียใจมากแล้ว แต่กลับไม่นึกเลยว่าแม้นนางจะตัดสินใจแล้ว แต่สุดท้ายท่านพ่อนางก็ตายอยู่ดี
นางนึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ตัวเองได้รับจะเป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่สามารถรักษาชีวิตท่านพ่อเอาไว้ได้ และสูญเสียหลัวซิวไปเช่นกัน
นางที่อยู่ในช่วงเวลานั้นเซ่อซ่า และยิ่งเคยมีความคิดที่จะตายเพื่อให้เรื่องทุกอย่างจบลง แต่หลัวซิวกลับไม่เคยทอดทิ้งนาง ยังคงอยู่เคียงข้างตน นี่จึงทำให้นางรู้สึกผิดต่อหลัวซิว
หลังจากท่านพ่อเสียชีวิตไปแล้ว นางก็มองว่าหลัวซิวเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตตัวเอง นางฝึกตนอย่างทุ่มสุดกำลังสามารถ สำหรับนางแล้วสักวันถ้าเกิดสามารถตายเพื่อหลัวซิวได้ ก็น่าจะสามารถทำให้ชีวิตนางลงเอยได้ด้วยความสมบูรณ์แล้ว
ทว่าการพัฒนาของหลัวซิวรวดเร็วมากเกินไป เขายิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่ง และช่วงระยะความต่างระหว่างทั้งสองก็ยิ่งอยู่ยิ่งมาก ต่อมาช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ยิ่งอยู่ยิ่งน้อย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้จิตใจลู่เมิ่งเหยาร้อนรน
สิ่งที่น่าขำคือโชคชะตานางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง นางได้พบเจอกับเจ้ายุทธจักรหยกนารา ครั้นเมื่ออยู่ในโลกแสงดาว สามารถพูดได้เลยว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอด ได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในเจ้ายุทธจักรทั้งแปด ศักยภาพเทียบทัดมหาจักรพรรดิยุทธ์!
นางฝึกตนอยู่ข้างกายเจ้ายุทธจักรหยกนารา สภาพจิตใจก็ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางเริ่มเชื่อมั่นในพลัง เพราะนางรู้สึกว่าถ้าเกิดนางมีผลการฝึกตนและศักยภาพที่แข็งแกร่ง ท่านพ่อนางก็จะไม่ตาย และหลัวซิวก็จะไม่ค่อย ๆ เหินห่างจากตนเอง
นางฝึกตนอย่างทุ่มสุดกำลังสามารถด้วยความคิดเช่นนี้ ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งกว่านั้นคือนางไม่เคยออกตามหาหลัวซิวเลย
เดิมทีนางคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ได้พบเจอหลัวซิวอีกแล้ว หากหลัวซิวตายไปแล้ว เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้นางก็จะไม่ตกหลุมรักผู้ใดอีก ต่อให้หลัวซิวยังมีชีวิตอยู่ นางและเขาก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกเดียวกันแล้ว อาจารย์นางคือเจ้ายุทธจักรแต่งตั้ง ส่วนหลัวซิวกลับเป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระที่เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง
อย่างไรก็ตาม เขากลับผิดพลาดอีกครั้ง ครั้นเมื่อใดศักดิ์สิทธิ์เปิดออก นางได้พบเจอกับหลัวซิวอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นคือนางพบว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวแข็งแกร่งกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้เสียอีก
ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี จึงมองหน้ากันไม่สนิท นางรู้สึกว่าบางทีชั่วชีวิตของตัวเองอาจจะไม่มีวันได้คบค้าสมาคมกับหลัวซิวอีกแล้ว นางเป็นผู้ทอดทิ้งและพลาดกับบุพเพสันนิวาสในครั้งนี้เอง
จิตใจนางสลับซับซ้อนมาก กระทั่งต่อมาหลัวซิวกลายเป็นจ้าวเซียนที่จอมยุทธ์ในโลกแสงดาวต่างเคารพบูชา เขาออกจากโลกแสงดาว มุ่งหน้าไปยังโลกาที่ระดับขั้นสูงกว่า แสวงหาวิถียุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าและชีวิตบนวิถียุทธ์ที่กว้างขวางมากกว่า
แต่ชื่อหลัวซิวและเงาร่างที่ไม่อาจลืมเลือนกลับกลายเป็นมารในใจนาง ทำให้หลังจากเส้นทางการฝึกยุทธ์ของนางบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว ก็ไม่มีการพัฒนาอีกเลย ซึ่งแทบจะไม่มีทางฝึกถึงแดนเทพมารได้
นางนึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากเวลาล่วงเลยไปหนึ่งร้อยปีกว่า หลัวซิวจะกลับมาอีกครั้ง เขายังคงสง่าผ่าเผยมีราศีอยู่เช่นเคย และแข็งแกร่งถึงขั้นที่นางทำได้เพียงแหงนมองแล้วไม่อาจเอื้อมถึง ยิ่งกว่านั้นคือแค่เบิ่งมองเงาหลังของเขาจากที่ไกล ๆ ก็จะทำให้นางรู้สึกได้ถึงความต่ำต้อยและความเล็กน้อยของตัวเอง
นางเห็นว่าข้างกายหลัวซิวมีสตรีไร้เทียมทานและมีความสามารถหลายคน นี่จึงทำให้จิตใจนางเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง
บางทีความสัมพันธ์ในครั้งนี้อาจทำได้เพียงฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจตลอดไป ฝังเข้าไปในดินโคลน
ลู่เมิ่งเหยา ณ ขณะนั้นคิดเช่นนี้ ทว่านางกลับได้พบกับสตรีอีกนางหนึ่งที่ชอบหลัวซิวในเวลานี้ ซึ่งสตรีนางนั้นก็คือฮู๋ชิงชิง
ฮู๋ชิงชิงก็ชอบหลัวซิวเช่นกัน แต่กลับทราบช่วงระยะความต่างระหว่างตนและเขาอยู่ ทว่านางกลับไม่ยอมแพ้ นางจะแสวงหาเส้นทางที่หลัวซิวเคยเดิน กระทั่งได้รับการยอมรับจากเขา กลายเป็นคู่ครองของเขาในวันใดวันหนึ่ง
ความแน่วแน่นี้ของฮู๋ชิงชิงทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกหวั่นไหวไปด้วย ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะออกจากโลกแสงดาวพร้อมกับฮู๋ชิงชิงอย่างแน่วแน่ เพื่อไปตามหาเส้นทางที่หลัวซิวเคยเดิน
ความทรงจำเหล่านี้ปรากฏตรงหน้าหลัวซิว ภายใต้กระแสสัมผัสจากตัวสำนึกของเขา เขาล้วนสามารถสัมผัสจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปของลู่เมิ่งเหยาในทุกช่วงเวลาได้อย่างชัดเจนเลย
นี่จึงทำให้หลัวซิวเข้าใจสักทีว่าช่วงเวลาที่อยู่ในโลกแสงดาว เขาเข้าใจลู่เมิ่งเหยาผิดไปเล็กน้อย นางเป็นคนที่พูดไม่เก่ง ก็เหมือนดังเช่นหลังจากท่านพ่อนางเสียชีวิตไปแล้ว ระหว่างทางที่นางมุ่งหน้าไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่พร้อมกับตน เขาก็กลายเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวในใจนางแล้ว
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เขานึกถึงช่วงเวลาที่ลู่เฟยเฉินก่อนตายได้ขอร้องอ้อนวอนให้ตนดูแลลู่เมิ่งเหยาดี ๆ
อย่างไรก็ตามเขากลับคืนคำ เขาไม่เพียงไม่สามารถลู่เมิ่งเหยาดูแลดี ๆ ยังทำให้นางต้องประสบพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงและความล้มเหลวต่าง ๆ นานา ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะในส่วนลึกของหัวใจนางยังคงมุ่งมั่นมาโดยตลอด บางทีหัวใจนางคงแตกสลายไปตั้งนานแล้ว
สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง หลัวซิวมองดูความทรงจำที่อยู่ตรงหน้าต่อ ที่นี่น่าจะมีสาเหตุที่ทำให้อุปนิสัยของลู่เมิ่งเหยาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่แฝงซ่อนอยู่สินะ?