มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 293 สวีจิงเหนียนฟื้นฟูผลการฝึกตน
สำหรับสวีจิงเหนียนที่เลือกใช้ที่นี่ในการกินยาเพื่อรักษาบาดแผลนั้น หลัวซิวไม่ได้ประหลาดใจอะไร เพราะในใต้หล้านี้ สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือองค์กรนักล่ายุทธ์ กล่าวได้ว่าปลอดภัยกว่าตำหนักเก่าแก่แห่งตระกูลสวีเสียอีก
“ผู้อาวุโสวางใจใช้สถานที่นี้รักษาตัวได้ จะไม่มีใครสามารถเข้ามารบกวนท่านได้” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม
สวีจิงเหนียนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยใดใด ยกมือขึ้นหยิบยาเสวียนจือโยนเข้าไปในปาก พลางเอ่ย “รบกวนผู้น้อยช่วยคุ้มกันข้าด้วย”
หลังจบคำพูดนั้น สวีจิงเหนียนก็หลับตาลงในทันที เข้าสู่ท่าทางของการฝึกตน
ผู้สืบทอดตระกูลใหญ่แห่งโลกยุทธ์ คนแบบไหนที่เชื่อได้ คนแบบไหนเชื่อไม่ได้ สำหรับคนที่มีชีวิตมานับปีอย่างสวีจิงเหนียนแล้วนั้น เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจมากกว่าชายหนุ่มที่อ่อนต่อโลกเช่นหลัวซิวอย่างสิ้นเชิง
การกระทำของเขา ได้รับความไว้วางใจจากหลัวซิว เพราะความไว้วางใจเป็นของกันและกัน อีกฝ่ายไม่อายที่จะรักษาตัวเอง จิตใจและความกล้าหาญเช่นนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกชื่นชม
ไม่ว่าอย่างไร ยิ่งอายุยืนนานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น คนเช่นสวีจิงเหนียน พูดได้เลยว่ามีไม่มากนัก
ผ่านไปไม่นาน บนร่างกายของสวีจิงเหนียนปกคลุมไปด้วยแสงระยิบระยับ กระบวนการในการรักษาบาดแผล ต่อเนื่องยาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมงคลื่นพลังจิตแท้ที่คาดการณ์ไม่ได้เกิดความผันผวน จากภายในร่างกายของสวีจิงเหนียนแพร่กระจายออกมา
ก่อนหน้านี้ ผลการฝึกตนส่วนใหญ่ของเขา ถูกใช้เพื่อกดบาดแผลของจุดตันเถียน แต่เมื่อบาดแผลของจุดตันเถียนได้รับการรักษาและฟื้นฟู พลังอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในร่างนั้น ปะทุอย่างรุนแรงราวกับน้ำท่วมทะลักออกมา
ระลอกคลื่นพลังแต่ละครั้งนั้น ทำให้โต๊ะและเก้าอี้ในห้องแตกเป็นผุยผง และความผันผวนของพลังนี้มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายต่อไป หากไม่ควบคุมไว้ เกรงว่าห้องนี้จะถูกทำลาย และจะดึงดูดให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
หลัวซิวหยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมาทันที และสร้างค่ายกลคุ้มกันขึ้นมากมายภายในห้องนั้น เพื่อควบคุมไม่ให้พลังแพร่กระจายออกไป
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ดวงตาที่ปิดสนิทของสวีจิงเหนียนก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น ลำแสงสองดวงพุ่งออกมาราวกับลูกธนู ทะลวงเข้ากับอากาศจนเกิดรอยไหม้สองรอย
นี่คือพลังอำนาจของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ พลังที่พุ่งออกมา สามารถทะลุทะลวงอากาศได้ในพริบตา!
แต่พลังของหลัวซิวในตอนนี้เปรียบได้กับราชายุทธ์ทั่วไป อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สามารถบิดเบือนอากาศได้
ความแตกต่างดูเหมือนจะเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริง มันคือความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลก
“ฮ่า ๆ… ผลการฝึกตนของข้า ในที่สุดก็ฟื้นฟูแล้ว!”
อำนาจบารมีแพร่ออกจากร่างของสวีจิงเหนียน เงยหน้าขึ้นพร้อมกับหัวเราะ ทั้งห้องสั่นอย่างรุนแรงด้วยเสียงหัวเราะ ค่ายกลคุ้มกันระดับห้าที่หลัวซิวสร้างไว้สั่นอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังจะถูกทำลายล้าง
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวต้องคิ้วขมวด กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง สวีจิงเหนียนก็ได้ยับยั้งอำนาจบารมีจากร่างกายไปแล้ว กลายเป็นคนแก่ธรรมดา ที่ดูราวกับว่าไม่มีพลังนักยุทธ์เลยแม้แต่น้อย
“เฮอะ ๆ ขอโทษที ไม่ง่ายเลยกว่าจะฟื้นฟูบาดแผลได้ จึงหลุดการควบคุมไปเล็กน้อย” สวีจิงเหนียนกล่าวขอโทษเล็กน้อย
“อารมณ์ของท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยเข้าใจดี” หลัวซิวตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ ในขฯเดียวกันก็สะบัดมือเก็บธงขลังสรรพสิ่ง
กิริยานี้ของหลัวซิว ทำเอาสวีจิงเหนียนหนังตากระตุก เพราะเขาสังเกตว่าก่อนหน้านี้มีค่ายกลคุ้มกันระดับห้าถูกสร้างไว้ เห็นได้ชัดว่า ค่ายกลนี้หลัวซิวเป็นคนสร้าง
“เขาไม่ใช่นักค่ายกลระดับสี่ แต่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า?” สวีจิงเหนียนต้องหันกลับไปมองเด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ยิ่งรู้จักเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความลึกลับของเด็กคนนี้มากขึ้นเท่านั้น
หลัวซิวยังลึกลับถึงเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้น อาจารย์คนนั้นที่อยู่เบื้องหลังเขา คงจะลึกลับมากเสียจนไม่สามารถเข้าถึงได้
“ผู้น้อยไม่เพียงแต่พลังผลการฝึกตนจะเป็นที่สุดของรุ่นเดียวกัน ยังเชี่ยวชาญกลั่นยาและค่ายกล สามารถสั่งสอนให้ได้ศิษย์อย่างเจ้ามา ข้ายากจะจินตนาการได้ว่า อาจารย์ของเจ้าอยู่ในแดนใด” สวีจิงเหนียนลองถามโดยไม่ทิ้งแสดงอาการน่าสงสัยใดใด
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ท่านอาจารย์ไปถึงแดนที่สูงยิ่งนัก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้น้อยได้เรียนรู้เพียงแค่เส้นขนเท่านั้น” หลัวซิวพูดพลางหัวเราะ
สวีจิงเหนียนอดไม่ได้ทีจะกระตุกมุมปาก ได้เรียนรู้เพียงแค่เส้นขนก็สามารถไปถึงนักกลั่นยาระดับสี่ ปรมาจาย์ค่ายกลระดับห้า อายุเพียง17ปีก็สามารถบรรลุถึงผลการฝึกตนแห่งฝึกจิตขั้นเก้า?
นี่ทำให้สวีจิงเหนียนสามารถตัดสินได้ว่า อาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิว ผลการฝึกตนของระดับที่บรรลุถึงต้องเกินระดับจักรพรรดิยุทธ์ หรืออาจจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ถือสันโดษอย่างมกุฏยุทธ์ พรีเมี่ยมยุทธ์ หรืออาจะเป็นคนในตำนานอย่างมหาจักรพรรดิยุทธ์?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สวีจิงเหนียนก็ไม่ได้พยายามสืบเรื่องราวของอาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวต่ออีก เพราะผู้แข็งแกร่งที่ถือสันโดษส่วนมากนั้นอารมณ์ไม่ค่อยปกติ หากดเผลอไปแตะต้องส่วนต้องห้ามเข้า มีแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนเพราะความอยากรู้อยากเห็นก็เท่านั้น
“นอกจากค่าตอบแทนของยาวิเศษแล้ว ข้าสัญญาว่าหลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ข้าเป็นหนี้บุญคุณผู้น้อย ตราบใดที่เป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำให้ได้ ขอเพียงผู้น้อยพูดมาคำเดียว ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน” สวีจิงเหนียนกล่าวด้วยความเกรงใจ
“ข้าน้อยขอบคุณท่านผู้อาวุโส” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว
หนี้บุญคุณจากผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ แน่นอนว่าหลัวซิวไม่ปล่อยให้เสียเปล่า เพียงแค่ในเวลานี้ เขายังไม่ต้องใช้มัน
หลังจากสวีจิงเหนียนฟื้นฟูผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ ก็เอ่ยปากลา ล่าสุดเพราะอาการบาดเจ็บของเขา อำนาจของตระกูลสวีจึงถูกราชวงศ์ตระกูลฝานกลืนกินไปไม่น้อย เขาจำเป็นต้องกลับไปนั่งบัลลังก์ แสดงอำนาจแห่งจักรพรรดิยุทธ์ ต้องทำให้ราชาแห่งราชวงศ์ตระกูลฝานคนนั้นเกิดความกังวลและเกรงกลัว
ไม่กี่เดือนมานี้ ความวุ่นวายในแดนปริศนาที่เกิดขึ้นได้สงบลงมาก ข่าวเกี่ยวกับหลัวซิวที่สังหารอัจฉริยะจำนวนมากจากกองกำลังต่างๆ ได้ค่อยๆ หายไปเพราะไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม
หลัวซิวส่งข้อความหาชิวลั่วสุ่ย ให้นางเอายาวิเศษและวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาวิญญาณหยินหยางทุกอย่าง มาหาเขาที่องค์กรนักล่ายุทธ์แห่งประเทศเทียนหวู
ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับภูตอัคคี หลัวซิวสัญญาไว้ว่าจะให้ยาวิญญาณหยินหยางกับชิวลั่วสุ่ยหนึ่งเม็ด แต่เงื่อนไขก็คือ นางจะต้องเอาวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาวิญญาณหยินหยางหนึ่งเม็ดมาแลก
ชิวลั่วสุ่ยเมื่อได้รับข้อความก็รีบมาในทันที ทั้งสองแอบพบกันในห้องลับขององค์กรนักล่ายุทธ์
ผลหู่หยางจูหนึ่งผล หญ้าวิญญาณหนึ่งเม็ด และวัตถุดิบและยาวิเศษอีกบางส่วนที่ช่วยในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง
แม้กระทั่งน้ำแร่วิญญาณ ก็อยู่ในมือของหลัวซิวแล้ว รวมทั้งหมดสี่สิบกว่าหยด
“สำนักสุ่ยเยว่จงของพวกเจ้า น่าจะยังมีหญ้าวิญญาณอีกมาก?”
เห็นชิวลั่วสุ่ยเอายาวิเศษและวัตถุดิบที่เป็นของดีพวกนี้ของดีออกมา หลัวซิวก็เอ่ยปากพูดออกมาลอย ๆ
“เจ้าต้องการหญ้าวิญญาณ?” ชิวลั่วสุ่ยถาม
“ใช่ นอกจากหญ้าวิญญาณ ข้ายังต้องการผลหู่หยางจู หากเจ้ายังมี ข้าสามารถเอาของมาแลกกับเจ้าได้” หลัวซิวพยักหน้า
หญ้าวิญญาณนั้น เป็นสิ่งหายากเกินจะประเมินราคา แต่สำนักสุ่ยเยว่จงเคยหาวัตถุดิบในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยางได้สามชุด พูดอีกอย่างก็คือมีหญ้าวิญญาณสามเม็ด
การกลั่นยาวิญญาณหยินหยางหนึ่งเม็ด ต้องใช้หญ้าวิญญาณหนึ่งเม็ด น่าจะยังมีเหลืออยู่อีกสองเม็ด