มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 298 มีเจตนาดีแต่ อย่ามีใจอ่อน
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดว่า วันหนึ่งจะทำลายสำนักเหลยหวู่ให้สิ้นแล้วเด็ดหัวเจ้าเหลยเว่ยหลงให้ได้ วันนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อทำสิ่งนั้น”
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำพูดขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ทำลายสำนักเหลยหวู่ เด็ดหัวเหลยเว่ยหลง?
เจ้านี่มันเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้?
เหลยเว่ยหลงเป็นถึงเจ้าสำนักเหลยหวู่ ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนราชายุทธ์ เด็กหนุ่มคนนี้มันกินดีเสือหรือดีเทพเจ้ามาหรืออย่างไร กล้าดียังไงมาพูดคำหยิ่งแบบนี้?
อย่างไรก็ตาม หลังจากมึนงงไปชั่วครู่ ผู้คนมากมายที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงชายหนุ่มที่พูดประโยคนี้ไว้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว… ซิวหลัว!
หลังจากจบการแข่งขันชิงจำนวนที่มีคะแนนอันน่าตกใจนั้น ชื่อของซิวหลัว ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป สามารถทะลุผ่านหอคอยมังกรบินชั้นที่เจ็ด ชายผู้ถูกขนานนามว่าอัจฉริยะแห่งศตวรรษ หลัวซิว!
หลัวซิว ซิวหลัว?
การแข่งขันชิงจำนวนจบไปแล้วไม่นาน เพียงแค่หนึ่งปีกว่า เจ้าเด็กคนนี้ก็มีความแกร่งกล้ามากพอที่จะท้าดวนกับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์แล้ว?
จากด้านบนนั้น สายตาที่มองฝูงชนเบื้องล่างด้วยความหยามเหยียด สายตาของหลัวซิวหยุดลงที่หลินโยว่เทียน เจ้าสำนักหอหย่งชาง โบกสะบัดมืออย่างไม่ใส่ใจ ยาเม็ดหนึ่งลอยไปทางเขา
หลินโยว่เทียนเอื้อมมือไปรับด้วยความฉงน เมื่อมองชัด ๆ แล้ว สีหน้าก็ชะงักไปทันทีด้วยความประหลาดใจ “ยาพระแสงระดับห้า?”
สิ่งนี้สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว ยาหนึ่งเม็ด ราคาเท่ากับหินพลังจิตนับหมื่นชิ้น
“หลินเจียเอ๋อร์คือศิษย์ของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานมีพระคุณต่อข้า ผู้อาวุโสหลินกินยาเพื่อรักษาบาดแผลเสียเถิด ส่วนเหลยเว่ยหลงข้าจะจัดการให้ท่านเอง” หลัวซิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ระหว่างที่พูดนั้น หลัวซิวก้าวอยู่ในอากาศ มุ่งหน้าไปทางเหลยเว่ยหลง รอบกายมีเพลิงมรณะปรากฏขึ้น ราวกับเปลวเพลิงสีดำนั้นเป็นดั่งเกราะนักยุทธ์ ปกคลุมรอบกาย เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“หลัวซิว! เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด เป็นสมาชิกอัจฉริยะแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็อย่าได้คิดไปเองว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า” เหลยเว่ยหลงพูดเสียงเยือกเย็น แผ่บารบีแห่งราชายุทธ์
“ในตอนนั้นที่เจ้าออกประกาศภารกิจรางวัลนำจับในองค์กร ด้วยราคาหมื่นหินพลังจิตเพื่อสังหารข้า ทำไมไม่พูดด้วยล่ะ?” หลัวซิวทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความเยาะเย้ย
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายั่วยุข้าสำนักเหลยหวู่ก่อน ระหว่างเจ้ากับพวกเราสำนักเหลยหวู่มีความแค้นใดกันแน่?” เหลยเว่ยหลงเผยสีหน้าฉงนใจ อันที่จริง นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจมาตลอด
“เจ้ารู้เพียงว่า เจ้าได้ล่วงเกินคนที่เจ้าไม่ควรล่วงเกินก็เท่านั้น”
นัยน์ตาหลัวซิวฉายแววสังหาร ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปข้างหลังและหยิบกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ สองเท้าเยียบบนอากาศอย่างดุดัน บริเวณใต้เท้าของเขาบิดเบี้ยว จนทำให้เกิดเสียงแตกร้าว
ในวินาทีที่เสียงร้าวในอากาศดังขึ้น ร่างของหลัวซิวก็ระเบิดออก และรุดเข้าไปตรงหน้าของเหลยเว่ยหลงในทันที
การกระทำเช่นนี้ของเขา ทำให้ผู้ชมด้านล่างถึงกับส่งเสียงร้องอุทานพร้อมกับแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
ในขณะที่เราทุกคนรู้ว่า หลัวซิวคนนี้เหมือนจะเพิ่งมีอายุเพียง17ปี อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับท้าเผชิญหากับราชายุทธ์? อีกทั้งยังสามารถบรรลุถึงผู้แข็งแกร่งแห่งแดนกลางราชายุทธ์?
เมื่อเห็นหลัวซิวพุ่งเข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเหลยเว่ยหลงก็ขรึมขึ้นมาในทันที ดาบรบขนาดมหึมาในมือพร้อมเปล่งประกายแสงสายฟ้าที่แพรวพราวนั้นก็พุ่งออกไปอย่างดุเดือด
เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ เผชิญหน้ากับการโจมตีของปรมาจารย์ยุทธ์ระดับฝึกจิตคนหนึ่ง จะให้ถอยหนีได้อย่างไร?
“ชิ้ง!”
เสียงกระทบของเหล็กและหิน เกิดเป็นเสียงเสียดแหลม พลังที่รุนแรงระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน กระเพื่อมกระจายไปในอากาศทั่วทั้งสี่ทิศ
จุดที่เกิดการชนกันของดาบรบเหลยหวู่กับกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ เงามืดในอากาศนั้นค่อย ๆ แตกและขยายออกไป
หลังจากโดนโจมตีอย่างแรง หลัวซิวซวยเซถอยหลังสามก้าว เหลยเว่ยหลงเองก็ถอยไปครึ่งก้าว
“เป็นแค่ฝึกจิตขั้นเก้าแต่สามารถทำให้ข้าถอยไปครึ่งก้าวได้ เจ้าก็สามารถภูมิใจในตนเองได้แล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่ช่องว่างระหว่างฝึกจิตและราชายุทธ์นั้น ห่างชั้นกันราวกับฟ้าและดิน เจ้าไม่ใช่ศัตรูของข้า”
เมื่อเห็นหลัวซิวถอยไปสามก้าว และตนถอยไปเพียงครึ่งก้าว เหลยเว่ยหลงก็มีจิตใจที่สงบลง และสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจของหลัวซิวในระดับฝึกจิตขั้นเก้า ทันใดนั้นมีร่องรอยของจิตสังหารและการดูถูกปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
แต่สำหรับหลัวซิวนั้น กลับทำหูทวนลม ทันใดนั้นฝีเท้าก็ก้าวขึ้นไปในอากาศ ร่างนั้นรีบรุดเข้าอีกครั้ง บนกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ปกคลุมไปด้วยรังสีสังหารสีแดงเลือด
“ดาบดับสิ้น!”
อีกครั้งของการปะทะอันรุนแรง และครั้งนี้ หลัวซิวเพียงแค่กระเด็นถอยหลังไปเพียงสองก้าว แต่เหลยเว่ยหลงกลับถอนหลังไปหนึ่งก้าวเต็ม ๆ
“ตาย!”
เหลยเว่ยหลงไม่วางมือ ร่างของทั้งสองกลายเป็นลำแสงและชนกันอย่างรุนแรงในกลางอากาศในทันที เสียงกระทบกันของอาวุธก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งสองต่อสู้อย่างดุเดือดหลายสิบรอบ เหลยเว่ยหลงที่แต่เดิมไม่ได้แยแสกับหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นเก้า สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมในทันที
เขาพบว่า ผลการฝึกตนของหลัวซิวถึงจะไม่เทียบเท่าเขา แต่ทุกครั้งที่ปะทะกัน ก็มีพลังพอที่จะต่อต้านตน แม้จะด้อยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ห่างชั้นนัก
อีกทั้งการบรรเลงวิชายุทธ์ของหลัวซิวก็มีความดุดันอย่างมาก มีการปะทะกันอย่างหนักหลายครั้งที่ทำให้เขาตกเป็นเบี้ยล่าง
นี่คือเด็กอายุ17จริงหรือ? นี่คือเด็กหนุ่มที่มีผลการฝึกตนเพียงฝึกจิตขั้นเก้าจริงหรือ?
ในแววตาของเหลยเว่ยหลงเต็มไปด้วยความตกใจและประหลาดใจ ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกโกรธด้วยเช่นกัน เวลาเพียงแค่ปีกว่า ๆ เท่านั้น ถ้าอีกปีหรือสองปี ความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้ ก็น่าจะสามารถบดขยี้เขาได้เลยในทันที
กงซุนเชียนจีรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง หันหลังกลับและเดินออกไป
นักยุทธ์ตระกูลกงซุนมากมายติดตามเขาออกไป ค่อย ๆ ออกจากใจกลางหอหย่งชางและแยกกระจายหายไป
นักยุทธ์สำนักเหลยหวู่ยังคงรู้สึกสับสนใจใน ผู้ภักดีบางคน มองหลัวซิวด้วยสวยตาโกรธแค้น จนแทบจะกลืนกินเขาอยู่แล้ว
แต่บางคนที่ไม่ได้จงรักภักดีกับสำนักเหลยหวู่มากขนาดนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อเหลยเว่ยหลงตายไป สำนักเหลยหวู่ก็เหลือแค่ชื่อเท่านั้น ทุกคนต่างก็พากันทิ้งป้ายบัญชาการของสำนักเหลยหวู่ หมุนตัวและเดินออกไป
หลินโยว่เทียนโบกมือ นักยุทธ์แห่งหอหย่งชางก็เดินขึ้นหน้า ล้อมคนของสำนักสำนักเหลยหวู่เอาไว้
“ข้าในนามของหอหย่งชาง เป็นสถานที่ที่พวกเจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปอย่างนั้นหรือ?”
หลินโยว่เทียนแผ่อำนาจราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง นอกจากผู้อาวุโสสองคนแห่งสำนักเหลยหวู่ที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ ส่วนนักยุทธ์คนอื่น ๆ นั้นส่วนมากมีสรหน้าซีดเซียว ถูกพลังนั้นกดเสียจนแทบหายใจไม่ออก
หลินโยว่เทียนก็ไม่ได้ทำตัวยิ่งผยองแต่อย่างใด แต่กลับเบนสายตาไปทาง หลัวซิวแทน “ท่านชายหลัว ท่านคิดว่าควรจัดการกับเจ้าพวกนี้อย่างไร?”
เขารู้ดี หากไม่ใช่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลัวซิว วันนี้หอหย่งชางก็คงไม่เหลืออยู่อีกต่อไป
และหลัวซิวสามารถฆ่าเหลยเว่ยหลงได้ พลังขนาดนี้ก็สามารถทำให้หลินโยว่เทียนยกให้หลัวซิว เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีเก่งกาจกว่าตนเองแล้ว
“ฆ่า!” หลัวซิวพูดเสียงเรียบ
หากเป็นตัวเขาเอง หลัวซิวเองไม่ได้กลัวการแก้แค้น แต่จำเป็นต้องฆ่า เพื่อไม่ให้คนอื่นได้รับผลกระทบ
แต่เบื้องหลังของเขา ยังมีญาติสนิทมิตรสหาย เมื่อคิดถึงความปลอดภัยของคนรอบตัว ถ้าเขาเป็นศัตรูกับคนอื่น เขาทำได้แค่ถอนรากถอนโคลน ไม่ให้ต้องทุกข์ทรมานจากปัญหาที่จะเกิดในวันหน้า
แม้ว่าจะค่อนข้างโหดร้ายและเลือดเย็น แต่บนโลกที่ให้ค่ากับนักยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ถ้าไม่มีหัวใจที่แข็งกระด้างและเด็ดขาด ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้เลย
จิตใจมีเมตตาได้ แต่อย่าใจอ่อนเหมือนผู้หญิง นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุดแห่งการเอาชีวิตรอดในโลกนี้!!