มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 443 ขับไล่ศัตรู
บทที่ 443 ขับไล่ศัตรู
หากจะว่ากันตามเหตุผล แนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 หากอาศัยเพียงชุนเชียนซาง ซึ่งมีผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 3 ไม่มีทางที่จะทำให้สั่นคลอนได้ แต่ค่ายกลคุ้มเขาที่หลัวซิวตั้งเอาไว้นี้ มีรูปแบบที่ต่ำกว่าแนวค่ายกลคุ้มเขาที่แท้จริงเล็กน้อย
นอกจากนี้แล้ว ค่ายกลยังทำงานด้วยตัวเองโดยไร้ผู้ควบคุม จึงทำให้อ่อนกำลังลงมาระดับหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อซุนเชียนซางออกแรงโจมตีอย่างสุดกำลัง ม่านแสงของค่ายกลจึงสั่นไหวอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ อ่อนกำลังลงราวกับว่ากำลังจะถูกทำลาย ติดอยู่เพียงแค่ปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น
“แบบนี้ไม่ดีแน่……” อารมณ์ของสวีจิงเหนียนในตอนนี้ รู้สึกร้อนรนราวกับถูกไฟเผา
เมื่อไรที่ค่ายกลถูกทำลาย ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ก็จะเป็นเหมือนลูกแกะตัวน้อย ๆ ที่รอการถูกสังหารอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ผู้นั้น โดยไม่มีแม้กระทั่งแรงจะต่อต้าน
……
ในแดนปริศนา ภายในหอคอยฝึกตนจงยางชั้นที่ 9 หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ค่ายกลที่เขาตั้งเอาไว้ เชื่อมโยงกับจิตใจของเขา เมื่อค่ายกลคุ้มเขาด้านนอกถูกโจมตี เขาจึงย่อมที่จะรู้สึกได้
ถึงแม้จะปิดขังฝึกตนได้ไม่นานนัก แต่สิ่งที่หลัวซิวได้รับถือว่าไม่น้อย โดยเฉพาะสำนึกพลังวิญญาณ ที่คอยดูดซับพลังวิญญาณที่อยู่ภายในช่องจิตอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 อีกเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุถึงระดับที่มีสำนึกทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ได้แล้ว
นอกจากนี้ ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยพลังจิตแท้ และความเข้าใจเกี่ยวกับผังกฎดั้งเดิมภาพที่สาม ก็เกิดการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ผลการฝึกตนของเขาเองก็พัฒนาตามมาด้วยเช่นกัน จึงบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 5 แล้ว
“รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมาหาเรื่องแน่” หลัวซิวแสยะยิ้ม
……
ม่านแสงของค่ายกลค่อย ๆ บิดเบี้ยวจนเสียรูป ผู้ที่อยู่ภายในค่ายกลอย่างสวีจิงเหนียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์ ต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมา
ผู้ร้ายเป็นถึงระดับมกุฎยุทธ์ ส่วนมกุฎยุทธ์ทั้งสองท่านที่หลัวซิวเชิญมาจากสมาคมเป่ยเซี๋ยในตอนนั้น ได้จากไปนานแล้ว
ครั้งแรกที่สำนักไท่เสวียนสร้างขึ้น ยังไม่ได้เปิดสำนักเขาอย่างเป็นทางการ ก็มีศัตรูเข้ามาโจมตีเสียก่อน คนเหล่านี้ไม่มีสติที่จะคิดป้องกันได้เลย เพียงครู่เดียวพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ทันใดนั้น ค่ายกลคุ้มเขาที่ถูกพลังการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ค่อย ๆ พุ่งเข้าใส่จนอ่อนกำลัง จู่ ๆ กลับเพิ่มพลังขึ้นทันที
สวีจิงเหนียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์หันกลับไปมองพร้อมกัน เห็นร่างร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงทางเข้าแดนปริศนา สวมใส่ชุดคลุมยาวดำ มีสีหน้าที่เคร่งขรึม ซึ่งก็คือหลัวซิวนั่นเอง
การปรากฏตัวของหลัวซิว ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกเหมือนมีเสาหลักขึ้นมาทันที ความรู้สึกวิตกกังวลก็ดูจะผ่อนคลายลง
“ไสหัวไป !”
มีเสียงตะโกนดังขึ้น หลัวซิวยกมือขึ้นบีบพลังตราประทับของค่ายกล ทำให้กระแสของแนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 ถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา
ทุกคนต่างได้ยินเสียงเปรี้ยงดังกึกก้อง คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่โหมกระหน่ำและปะทุขึ้น ซุนเชียนซ่าง ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ยืนอยู่เหนือท้องฟ้าด้านนอกค่ายกลผู้นั้น ได้ถอยร่นกลางอากาศไปหลายก้าว
“เป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งจริง ๆ ไม่มีผู้ควบคุมแท้ ๆ แต่กลับสามารถต้านทานการโจมตีจากร่างทองฝ่าเซียงของข้าได้หลายครั้ง หลังจากหลัวซิวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น พลังที่ใช้ควบคุมค่ายกล เป็นเพียงแค่กระแสธรรมดา ๆ จริงหรือ ?”
ซุนเชียนซางหันมองหลัวซิวที่อยู่ท่ามกลางม่านแสงของค่ายกลด้วยความตกใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มควบคุมร่างทองฝ่าเซียงอีกครั้ง เขากระแทกฝ่ามือลงไปยังม่านแสงของค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง
พลังจิตแท้ที่ยิ่งใหญ่แปรปรวน และแผ่ขยายไปในท้องฟ้า
“ฝ่ามือใต้หล้า !”
ครั้งนี้ซุนเชียนซางไม่เพียงใช้แค่ร่างทองฝ่าเซียงเท่านั้น แต่ยังสำแดงวิชาหมัดอันทรงพลังออกมาอีกด้วย ซึ่งเป็นทักษะยุทธ์ระดับ 9
“โล่ !”
หลัวซิวยังมีสีหน้าสงบนิ่ง ตราประทับในมือของเขาเปลี่ยนไป จู่ ๆ ม่านแสงของค่ายกลที่แปรปรวนก็ควบรวมกันอย่างกะทันหัน กลายเป็นกำแพงโลหะที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือขนาดใหญ่โจมตีลงมาบนม่านแสงของค่ายกล เหมือนกับการตีระฆังขนาดใหญ่ ทำให้เกิดเสียงอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น
คลื่นเสียงแผ่วงกว้างออกไป จนทำให้ภูเขาที่ห่างออกไปเป็นกิโลเมตรราบเป็นหน้ากลอง เห็นให้เห็นถึงความน่ากลัวอย่างที่สุด
แนวค่ายกลคุ้มเขาไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย การมีผู้ควบคุมและไม่มีผู้ควบคุมช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
7 นี้ของหลัวซิว จะด้อยกว่าของสำนักเสวียนหยางเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่ามกุฎยุทธ์ขั้น 3 เพียงคนเดียวจะสั่นคลอนได้ นอกเสียจากจะเป็นมกุฎยุทธ์ขั้น 5 ขึ้นไป จึงจะสามารถอาศัยพลังของผลการฝึกตน
ซุนเชียงซานหน้าถอดสีทันที คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองโจมตีอย่างสุดกำลังเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถสั่นคลอนค่ายกลของอีกฝ่ายได้เท่านั้น แต่แรงต้านยังทำให้เลือดปราณของเขาปั่นป่วนอีกได้
“นี่ต้องไม่ใช่แนวค่ายกลธรรมดาแน่นอน หรือว่าจะเป็นแนวค่ายกลคุ้มเขา ?” ซุนเชียนซางคิดถึงความเป็นไปได้นี้
“ฆ่ามัน !”
หลิวซิวใช้มือทั้งสองข้างบีบพลังตราประทับ ค่ายกลทั้งหมดเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ลำแสงซ้อนทับกันไปมา จนเกิดเป็นสัญลักษณ์ลึกลับปรากฏขึ้น และเปล่งประกายแสงที่น่าอัศจรรย์ออกมา
ปราณกระบี่สุดขั้วรวมตัวขึ้นท่ามกลางลำแสง เกิดเป็นออร่าอันน่าเกรงขามที่อยู่ยงคงกระพัน
ค่ายกลคุ้มเขา ปกติแล้วเป็นการผสมผสานระหว่างการโจมตีและการป้องกัน ในขณะที่ไม่มีผู้ควบคุม ค่ายกลทำได้เพียงแค่เคลื่อนไหวด้วยตัวเอง เพื่อปกป้องการโจมตีจากภายนอก แต่เมื่อไรที่มีผู้ควบคุม จะสามารถกระตุ้นให้เกิดลำแสงและแผ่กระแสอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้ และฆ่าผู้ที่เข้ามาบุกรุก
ปราณกระบี่สุดขั้ว ส่งเสียงดังกึกก้องและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า บดขยี้โลกและทำลายชั้นบรรยากาศ
พรวด !
ลูกศรโลหิตพุ่งลอยขึ้นไปในอากาศ ภายใต้การบดขยี้ของปราณกระบี่สุดขั้ว ร่างทองฝ่าเซียงสูงกว่าสิบเมตรที่ยืนอยู่ด้านหลังของซุนเชียนซาง กลับตัวเล็กราวกับมด
ทันใดนั้น เขาก็ลอยกระเด็นออกไปและมีเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากปาก ร่างทองฝ่าเซียงที่อยู่ด้านหลังของเขาสลายไป ร่างกายปรากฏรอยแยกขึ้น มกุฎยุทธ์ฝ่าเซียง เกือบจะถูกแล่ออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว
ซุนเชียนซางรู้สึกตกใจอย่างหนัก ผู้ที่สามารถโจมตีจนเขาบาดเจ็บสาหัสได้ จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 4 ขึ้นไป แสดงให้เห็นว่ากระแสค่ายกลที่หลัวซิวปล่อยออกมาเมื่อครู่ ได้บรรลุถึงระดับนี้แล้ว
“ค่ายกลนี้ ข้าคนเดียวไม่อาจรับมือได้”
เมื่อเห็นปราณกระบี่สุดขั้วพุ่งเข้าหาตนเองอีกครั้ง ซุนเชียนซางก็ลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วและหันหลังเดินจากไป
“ผู้อาวุโสซุน ท่าน……”
ส่วนสีชูทงซึ่งขี่กิเลนอัคคีบุกรุกเข้ามาด้วยท่าทีสง่างามในตอนแรก กลับยืนตกตะลึงอ้าปากค้าง
“เยี่ยมจริง ๆ ซุนเชียนซาง หลงคิดว่าเจ้าเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ คิดไม่ถึงเลยว่าจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว แล้วทิ้งข้าเอาไว้คนเดียว เช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายข้าหรอกหรือ ?”
ในที่สุดตอนนี้สีชูทงก็เข้าใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายสามารถทำลายตำหนักจื่อได้ แสดงให้เห็นแล้วว่าลำพังแค่จักรพรรดิยุทธ์อย่างตนเพียงคนเดียว ไม่อาจจะล่วงเกินได้ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าแม้แต่ซุนเชียนซางซึ่งมีผลการฝึกตนถึงระดับมกุฎยุทธ์ ยังต้องหนีไปด้วยความอับอาย ?
“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้”
ขณะที่สีชูทงกำลังเตรียมตัวจะหนีออกไปอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ในเวลาเดียวกันนี้ มีออร่าลึกลับเข้ามาผูกมัดเขาเอาไว้ ราวกับว่าหากเขาก้าวไปข้างหน้าเพียงแค่ก้าวเดียว จะต้องถูกสายฟ้าฟาดอย่างแน่นอน
สีชูทงแอบบ่นอยู่ในใจถึงความโชคร้ายของตนเอง เขาทำได้เพียงแค่ยอมหยุดเดินอย่างจนใจ แล้วหันกลับไปมอง
ลำแสงของค่ายกลคุ้มเขาก่อนหน้านี้หายไปแล้ว สีชูทงเห็นเด็กหนุ่มสวมชุดคลุมยาวดำคนหนึ่ง กำลังเดินตรงเข้ามาหาตนเองบนอากาศด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“น้องชายท่านนี้ นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น” สีชูทงพูดพลางยิ้มแหย
เขารู้ดีว่า ผู้ที่ขับเคลื่อนค่ายกลเมื่อครู่ และโจมตีจนผู้ฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์อย่างซุนเชียนซางต้องถอยร่นไป ก็คือชายหนุ่มผู้นี้
เขาผู้นั้นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับอาจารย์ของเขา !
“เข้าใจผิดหรือ ? ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่า เมื่อเจ้ามาถึงก็เรียกให้ข้ารีบไสหัวออกมาไม่ใช่หรือ ?” หลัวซิวถามพลางแสยะยิ้ม
สีชูทงหน้าถอดสีทันที เขาพูดด้วยสีหน้าทุกข์ใจ : “นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ “
“เจ้ารู้จักซุนเชียนซางคนเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ ?” หลัวซิวถามต่อ
สีชูทงคิดที่จะปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อเขาได้เห็นแววตาที่เย็นชาของหลัวซิว หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้นในทันที