มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 5
บทที่ 5
“สุนัขมาจากไหนกัน ถึงได้ออกมาไล่กัดคนเพ่นพ่านเช่นนี้ ?”
หลัวซิวไม่รู้จักว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จู่ ๆ ก็มาเอ่ยปากด่าทอว่าตนเองนั้นเป็นพวกสวะ ตอนนี้หลัวซิวไม่ใช่คนที่คนอื่นจะมาดูถูกง่าย ๆ ได้อีกแล้ว
“เจ้ากล้าด่าข้าอย่างนั้นหรือ ?” ชายหนุ่มสวมเสื้อแพรมีสีหน้าโกรธเคือง แววตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
“เจ้ากล้าด่าข้าว่าเป็นสวะ แล้วทำไมข้าจะไม่กล้าด่าเจ้าว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานล่ะ ? เจ้าคงคิดว่าเจ้าเป็นผู้รากมากดี ที่เกิดในตระกูลสูงส่งอย่างนั้นสินะ ?” หลัวซิวพูดเย้ยหยัน
ชายหนุ่มสวมเสื้อแพรยิ่งแสดงท่าทีอาฆาต “เจ้านี่ช่างใจกล้าเสียจริง ๆ แต่พวกสวะชั้นต่ำอย่างเจ้า ยิ่งใจกล้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะตายเร็วขึ้นมากเท่านั้น !”
หลัวซิวไม่คิดเช่นนั้น เขาหัวเราะเยาะออกมา “น้องชายของเจ้าถูกคนที่เจ้าเรียกว่าสวะเอาชนะได้ และเหยียบเขาจนจมดิน เช่นนั้นน้องชายเจ้าถือว่าเป็นอะไรกันล่ะ ? ส่วนเจ้าซึ่งเป็นพี่ชายของเขา ตัวเจ้าเองนับว่าเป็นอะไรกัน ?”
“เจ้ารนหาที่ตายชัด ๆ !” แสงประกายจาง ๆ ส่องสว่างออกมาจากชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อแพร เขาพุ่งเข้าใส่หลัวซิวด้วยท่าทีที่ดุดันในทันที
ปราณในของเขาส่องสว่าง ที่คือผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการมีปราณในที่บริสุทธิ์และทรงพลัง
เหมือนที่หลัวซิวคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อแพรผู้นี้คือจางห่าย ซึ่งเป็นพี่ชายของจางเจี๋ยจริง ๆ เขาเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นในบรรดาลูกศิษย์ระดับปี2 ตอนนี้เขาไต่เต้าไปถึงระดับการกลั่นร่างชั้น7เรียบร้อยแล้ว !
หลัวซิวจ้องตาเขม็ง ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 สำหรับเขาแล้วถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก แต่ถ้าหากต่อสู้กันจริง ๆ เขาก็สามารถเลือกใช้วิธีทำลายลายเส้นชีวิตของอีกฝ่ายโดยตรงได้ จึงทำให้เขาคลายความกลัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย ทำให้ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ไม่ไกลต่างหันมอง
“ดูเหมือนชายคนนั้นจะเป็นจางห่ายพี่ชายของจางเจี๋ยนะ เมื่อครู่ร่างกายของเขาส่องแสงสว่างของปราณในออกมา นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7แล้ว !”
“ได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 มีสิทธิ์เข้าไปในหอเก็บหนังสือเพื่อเลือกรับวิชายุทธ์ระดับ3 ช่างเป็นเรื่องน่าอิจฉาจริง ๆ”
“หลายวันก่อนหลัวซิวทำร้ายจางเจี๋ยจนได้รับบาดเจ็บ จางห่ายจึงออกโรงด้วยตัวเอง คราวนี้หวังซิวคงไม่รอดแน่”
ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนตกตะลึงในความสามารถของจางห่าย ส่วนหลัวซิวนั้น ถึงแม้หลายวันก่อนจะสามารถเอาชนะจางเจี๋ยได้ แต่คนพวกนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับจางเจี๋ยแล้ว ถือว่าอยู่คนละชั้น
“กำลังจะลงมือแล้ว !”
ทุกคนเห็นร่างกายของจางห่ายส่องประกายแสงของปราณในออกมา ก็รู้ได้โดยทันทีว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปราณในของผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 กำลังเคลื่อนไหวไปสู่จุดสูงสุด
“เจ้าทำลายมือทั้งสองข้างของน้องชายข้า ทำให้ซี่โครงของเขาหักไปสองซี่ เพราะฉะนั้นข้าจะทำลายแขนขาของเจ้าซะ และหักซี่โครงของเจ้าทุกซี่จนหมด !”
จางไห่พูดพลางแสยะยิ้ม ในสำนักยุทธ์มีกฎเกณฑ์ว่าห้ามฆ่าคน แต่ถ้าหากทำให้หมอนี่พิการและไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีก ก็เท่ากับว่าเขาจะต้องถูกไล่ออก ถึงตอนนั้นเมื่อออกจากสำนักยุทธ์ไปแล้ว ด้วยวิธีการของตระกูลจาง หากคิดที่จะฆ่าคนชั้นต่ำที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าสักคน ก็เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ยังไม่ทันจะพูดจบ จางห่ายก็เริ่มลงมือ เขาก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว แล้วปล่อยหมัดพุ่งตรงไปที่หน้าอกของหลัวซิว เป็นหมัดที่รวดเร็วและทรงพลัง
เมื่อเห็นว่าจางห่ายเริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว สีหน้าของหลัวซิวก็เย็นชาลงทันที เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากอีกฝ่าย
“ตุบ !”
หลัวซิวรู้สึกว่ากระดูกแขนทั้งสองข้างของเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง แรงปะทะที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างฉับพลัน ทำให้เขาถอยร่นไปหลายก้าวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ไม่เสียแรงที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างชั้น7 ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลัง ถือว่าเยี่ยมยอดกว่าข้าหลายเท่านัก”
หลัวซิวพยายามทรงตัวให้มั่นคง ดวงตาของเขาดูมุ่งมั่น ปราณในของเขากำลังซ่อมแซมลายเส้นชีวิต ความเจ็บปวดบนแขนทั้งสองข้างค่อย ๆ จางหายไป
“อะไรกัน ? ไม่ล้มลงไปอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าสวะอย่างเจ้าสามารถเอาชนะน้องชายที่ไม่เอาไหนของข้าได้ คงจะต้องมีความสามารถพอตัว”
จางห่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย ผลการฝึกตนของเขาไม่เพียงแต่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขึ้น7เท่านั้น แต่การฝึกตนในทักษะยุทธ์ของเขาก็ไต่เต้าถึงระดับวิชายุทธ์ระดับ3 การที่เขาไม่สามารถโจมตีหลัวซิวให้พ่ายแพ้ลงในคราวเดียวได้ ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากจริง ๆ
แต่นี่คงเป็นเพียงเรื่องที่เหนือความคาดหมายเท่านั้น สำหรับจางห่ายแล้ว เขามีความมั่นใจในความสามารถของตนเองอยู่ไม่น้อย เขาส่งเสียงเย้ยหยันออกมาแล้วเริ่มลงมืออีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาใช่ท่าตะครุบอินทรีเหล็กพุ่งตรงเข้าไปบีบคอของหลัวซิวเอาไว้
ถึงแม้จะเป็นท่าตะครุบอินทรีเหล็กที่อยู่ในทักษะยุทธ์ระดับสามเช่นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา ช่างต่างกับจางเจี๋ยลิบลับ ทั้งรวดเร็วและรุนแรงอย่างยิ่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
ตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ จางห่ายก็รีบปล่อยมือทันที เมื่อหันมองไปพบกับหญิงสาวรูปร่างร้อนแรง แต่งกายด้วยชุดต่อสู้รัดรูปสีขาว กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เย็นชา
“อาจารย์ลู่”
เมื่อบรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบเห็นนาง ต่างก็รีบทำความเคารพ
หญิงสาวคนนี้มีนามว่าลู่เมิ่งเหยา เป็นหนึ่งในอาจารย์ของสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุน และเป็นนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับแดนฝึกชี่ไห่อย่างแท้จริง !
ด้วยทรวดทรงของร่างกายที่ดูเร่าร้อน ท่อนขาที่เรียวสวย ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ ความสามารถที่แข็งแกร่ง พรสวรรค์ที่สูงส่ง รวมไปถึงจุดเด่นมากมายที่ถูกรวเอาไว้ในตัวของนาง ทำให้ลู่เมิ่งเหยาซึ่งเป็นบุคคลที่โดดเด่นอย่างยิ่งในสำนักยุทธ์เมืองชิงหยุน
ต่อหน้าอาจารย์ในสำนักยุทธ์ จางห่ายไม่กล้ากระทำความผิดแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าลงมือกับหลัวซิวต่อ
“คารวะอาจารย์ลู่” จางห่ายและหลัวซิวทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
“เจ้าชื่อจางห่ายใช่ไหม ? ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น7ในชั้นเรียนระดับกลาง แต่กลับมาหาอวดเบ่งวิชาการต่อสู้ของตนเองในชั้นเรียนระดับต้น รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า นี่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ควรกระทำอย่างนั้นหรือ ?” ลู่เมิ่งเหยาแสดงความไม่พอใจออกมา และพูดพลางขมวดคิ้ว
“อาจารย์ลู่เข้าใจผิดแล้วครับ เป็นเพราะหลัวซิวผู้นี้ทำร้ายน้องชายของข้า ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ จึงเป็นธรรมดาที่ข้าต้องมาทวงคืนความยุติธรรม” จางห่ายกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ลู่เมิ่งเหยาเหลือบมองหลัวซิว อันที่จริงแล้วสำหรับลูกศิษย์ที่ไร้ซึ่งผลงานและความโดดเด่นมาตลอดสามปี นางจึงไม่เคยให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย
การต่อสู้กันระหว่างลูกศิษย์ สำนักยุทธ์มักจะปิดตาข้างเดียว เพราะนี่ถือเป็นการแข่งขันเพื่อเขาชีวิตรอดของผู้ที่มีความแข็งแกร่งรูปแบบหนึ่ง
แต่ทว่าเมื่อหลายวันก่อน หลัวซิวเพิ่งจะเอาชนะลูกศิษย์ในชั้นต้นที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างจางเจี๋ยไปได้ สิ่งนี้ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“การกลั่นร่างขั้น4 ?”
ลู่เมิ่งเหยาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของปราณในในตัวของหลัวซิว นางจำได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อสองสามวันก่อนลูกศิษย์คนนี้ยังอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น2
นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย “หรือว่าเขาจะเพิ่งค้นพบพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ของตนเองซึ่งถูกสั่งสมมาเป็นเวลานาน ?”
########################