มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 575
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 575
เงาของตวนมู่หยางตกลงบนพื้น สีหน้าซีดเผือด กระอักเลือดออกมา ร่างกายถอยหลังโซเซไปหลายก้าว
เมื่อมองไปก็เห็นว่ากำลังจะชนเข้ากับโต๊ะของพวกหลัวซิว ทันใดนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ยื่นออกมาและวางลงบนหลังของเขา
ตวนมู่หยางทรงตัวได้ เหลือบหันไปมอง เห็นว่าคนที่ช่วยตนไว้นั้นคือชายหนุ่มสวมชุดสีดำ
“สหายท่านนี้ ข้าขอบใจ” ตวนมู่หยางเอ่ยคำขอบคุณ
แต่การกระทำของหลัวซิว กลับทำให้คนจากทางฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดเขม่นมองมาทางนี้ทันที
ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจคนนั้นขมวดคิ้ว สีหน้าเยือกเย็น เหตุที่เขาลงมือนั้นก็เป็นเพราะว่าต้องการเหยียบย่ำคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา เจ้าหนุ่มคนนี้ออกโรงช่วยตวนมู่หยาง ทำให้เขารู้สึกไม่ดีนักที่ไม่สามารถทำให้ตวนมู่หยางกลายเป็นคนโง่ต่อหน้าทุกคนได้
ศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ฝึกตนพิฆาต หากรู้สึกไม่พอใจก็มีทางเดียวคือสังหารทิ้งเท่านั้น!
“เจ้าหนู เจ้ามาจากสำนักใดกัน?” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจมองมาทางโต๊ะของหลัวซิวด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อเขามองไปที่เสื้อผ้าบนตัวของหลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์และฉีฝ่าเทียน พบว่าไม่ได้มีสัญลักษณ์ของสำนักใดอยู่ ดังนั้นจึงได้ถามถึงที่มาของอีกฝ่าย
พอดีกับงานประลองยุทธ์แย่งชิงโควตาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างใครจะเริ่มขึ้น กองกำลังต่าง ๆ จากสี่เมืองใหญ่ต่างก็ไหลมารวมกันที่เมืองหลัวเทียน บางทีถ้าเจอใครในเมืองก็อาจจะมาจากสำนักตระกูลแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้
“สำนักไท่เสวียนแห่งอาณาจักรใต้” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
เมื่อเทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด สามารถพูดได้ว่าสำนักไท่เสวียนนั้นเป็นเพียงแค่สำนักเล็ก ๆ เท่านั้น หลัวซิวก็รู้ดีว่าหากตนเอ่ยอ้างถึงที่มาของตน อาจจะทำให้สำนักไท่เสวียนเดือดร้อนจากการยั่วยุแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็เป็นได้
แต่ว่าที่แห่งนี้มีคนมากมายนัก อีกทั้งยังมีฉีฝ่าเทียนอยู่ด้วย หลัวซิวในฐานะเจ้าสำนักไท่เสวียน หากไม่กล้าแม้แต่จะบอกเล่าที่มาของตัวเองก็จะถูกดูหมิ่นจริง ๆ
ดังคำกล่าวที่ว่า มนุษย์อาศัยใบหน้า ต้นไม้อาศัยเปลือกไม้ เรื่องของหน้าตานั้นบางครั้งบางทีก็สำคัญมาก บางคนถึงกับมองว่าเรื่องของหน้าตานั้นสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ
หากว่าหลัวซิวไม่ใช่เจ้าสำนักไท่เสวียน บางทีเขาอาจจะไตร่ตรองเสียก่อน แต่แต่ในเมื่อเขาอยู่ในหน้าที่ เขาต้องเป็นตัวแทนไม่ใช่เพียงแค่ตนคนเดียว แต่ยังมีเกียรติและศักดิ์ศรีของทั้งสำนักไท่เสวียนที่ต้องรักษาอีกด้วย
“สำนักไท่เสวียน?” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่ากำลังคิดว่าทั้งสี่เมืองใหญ่ มีกองกำลังใหญ่ใดที่มีชื่อเช่นนี้บ้าง
ในเวลานี้ มีคนคนหนึ่งได้เดินเข้ามาข้างกายของชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ กระซิบเสียงต่ำบางอย่างกับเขา
“แค่เพียงกองกำลังเล็กระดับสามที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน?” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจเผยสีหน้าเหยียดหยามไม่ใส่ใจ
แขกที่มาใช้บริการที่ในภัตตาคารนั้นไม่มาก แต่ทุกโต๊ะที่กำลังมากพอจะมากินดื่มที่ภัตตาคารเทียนอีได้ ต่างก็เป็นยอดฝีมือที่ร่ำรวยทั้งนั้น
อาณาจักรใต้ไท่เสวียน สำหรับจอมยุทธ์ส่วนใหญ่นั้นอาจจะไม่คุ้นเคยนัก ต่อให้เคยได้ยินมาบ้างก็รู้เพียงแค่ว่าเป็น แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่เคยอยู่ในอาณาจักรใต้สมัยโบราณ เรียกว่าไท่เสวียน
แต่บางคนที่เกิดในกองกำลังใหญ่ กลับรู้แค่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักไท่เสวียนแห่งอาณาจักรใต้เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงดังกระฉ่อน ดังก้องราวกับสายฟ้าที่ฟาดผ่าน ได้รับความสนใจอย่างยิ่ง
แน่นอน ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดจากกองกำลังใหญ่จะเคยได้ยินเรื่องราวของไท่เสวียนอาณาจักรใต้ แต่ว่าเพียงแค่คนที่เคยได้ยินได้ข่าวมานั้น แต่เพียงแค่เคยได้ยินและมีสายข่าวอยู่บ้างก็จะสามารถรู้ได้ว่า ที่สำนักไท่เสวียนมีเจ้าสำนักเป็นชายหนุ่มวัยเยาว์ ว่ากันว่าเป็นอัจฉริยะที่ท่านหัวหน้าผู้ลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ให้ความสำคัญ
สำนักไท่เสวียนวันนี้อยู่ที่อาณาจักรใต้แน่นอนว่ามีชื่อเสียงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของอาณาจักรตะวันตกกลับห่างไกลออกไปหนึ่งแสนแปดพันลี้
“แค่เพียงกองกำลังเล็ก ๆ ระดับสามก็กล้าจะยื่นจมูกเข้ามายุ่งเรื่องของข้าแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!”
ศิษย์คนหนึ่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดลุกขึ้น สายตาจาบจ้วงโดยไม่ปิดบังถูกส่งไปยังเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว “เจ้าหนู ดูแม่หญิงข้างกายเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก ทิ้งนางไว้ที่นี่ แล้วเจ้าก็คลานออกไปจากภัตตาคารเทียนอีเสีย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
เมื่อรู้สึกถงแววตาชั่วร้ายของอีกฝ่ายที่จ้องมองมายังร่างของตน เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที หมายใจว่าจะลงมือในทันที
สายตาของหลัวซิวก็พลันเย็นเยียบลงในทันที โดยปกติแล้วเขาค่อนข้างที่จะเป็นคนอารมณ์ดี มีเพียงแค่บางครั้งเท่านั้นที่มีคนมาก้าวล่วงคนที่เขาใส่ใจ เขาก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้!
“คำพูดเมื่อครู่ เจ้าพูดหรือ?” หลัวซิวรี่ตาลง มองไปทางศิษย์จันทราสีเลือดผู้ที่เปิดปากพูดจาหยาบคายที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ
“ฮ่า ๆ เป็นข้าพูดแล้วจะอย่างไร? เจ้าแม่ง…”
ศิษย์ของจันทราสีเลือดคนนั้นหยิ่งผยองถึงขีดสุด อ้าปากเย้ยหยันสนุกปาก จากนั้นคำพูดของเขายังไม่ทันได้พูดจบ ก็ต้องหยุดกะทันหัน
โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดใด ร่างของหลัวซิวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าศิษย์แห่งจันทราสีเลือด คนผู้นี้สัมผัสได้เพียงแสงสลัวตรงหน้า ฝ่ามือข้างหนึ่งเงื้อมือขึ้น ฟาดลงไปทางหัวของเขา
“ปัง!”
สถานการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เร็วเสียจนทุกคนไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ศิษย์จันทราสีเลือดคนนั้นที่หยิ่งผยองพองขนเมื่อครู่ ศีรษะของเขาถูกตบเข้าอย่างแรงจนห้อยลงมาอยู่บริเวณหน้าอก