มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 588
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 588
“เจ้าก็ไม่ต้องถ่อมตัวไป เรื่องของเจ้าข้าก็ได้ทำความเข้าใจมาไม่น้อย ในตอนที่เจ้าอยู่ที่แดนราชายุทธ์ ก็สามารถข้ามแดนไปฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ เมื่อถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ก็สามารถข้ามแดนไปฆ่ามกุฎยุทธ์ได้ ถึงแม้จะบอกว่าอัจฉริยะเหล่านั้นกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ไม่ใช่มกุฎยุทธ์ธรรมดาที่สามารถเปรียบเทียบได้ แต่ข้ากลับรู้สึกว่า เจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเสียอีก!”
แววตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสั่นเป็นประกาย หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนของเขาในตอนนี้ เขาก็เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหลัวซิวคนนี้ที่มีเพียงผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ มีสิ่งมหัศจรรย์แฝงอยู่ใดกันแน่
“ตราบใดที่เจ้าสามารถชนะที่หนึ่งได้ นอกเหนือจากผลประโยชน์ของเจ้าเอง ข้าในฐานะผู้แนะนำของเจ้า ก็จะได้รับประโยชน์บางอย่างเช่นกัน”
“ข้าก็เข้าใจดีถึงความกังวลของเจ้า ไม่อยากโดดเด่นจนกลายเป็นเป้าหมายของทุกคน ในจุดนี้ข้าข้าสามารถมอบสิ่งทดแทนให้เจ้าได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โดยพื้นฐานระหว่างเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูกับชิวหลัวซิวก็ถึงว่าได้วางไพ่หมดหน้าตักแล้ว เห็นเขาค่อย ๆ กางยื่นมือออกมา กลางฝ่ามือของเขา เปลวไฟกลุ่มหนึ่งลุกโชนขึ้น
นี่คือเปลวไฟเย็นสีน้ำเงิน วินาทีที่มันปรากฏขึ้นมานั้น อุณหภูมิทั่วทั้งภายในสำนักหลัวเทียนก็ลดลงโดยทันที ชั้นของน้ำค้างแข็งยังก่อตัวเป็นชั้นบนพื้นอีกด้วย
“ภูตอัคคีเปลวเยือก?” หลัวซิวดวงตาของเขาหรี่ลงด้วยความแปลกใจ
ในชื่อของมัน มีคำว่าภูตอัคคี ที่มาของเปลวเพลิงนี้ ย่อมปรากฏชัดโดยธรรมชาติ
ภูตอัคคีทุกช่อ ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากในโลกนี้ ไม่รู้ว่าผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดที่ต้องการใช้ภูตอัคคี บางทีใช้เวลาทั้งชีวิต เดินทางผ่านแม่น้ำนับพันสาย ภูเขานับพันลูก ก็อาจจะไม่พบร่องรอยของภูตอัคคีแม้สักนิดเดียวเลยก็ได้
ภูตอัคคีทุกชนิดต่างก็มีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ ความสามารถของภูตอัคคีกลืนกินคือเผาผลาญทุกสิ่งให้กลายเป็นความว่างเปล่า ด้วยพลังทำลายล้างที่ทรงพลัง
ส่วนภูตอัคคีเปลวเยือกในมือเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวนั้น ดูเหมือนเย็นยะเยือก อันที่จริงอุณหภูมินั้นสูงจนน่ากลัว สาเหตุของปรากฏการณ์ประหลาดนี้ก็คือ ภูตอัคคีดูดซับความร้อนรอบ ๆ หลังจากสูญเสียความร้อนไปจะกลายเป็นพลังแห่งความหนาวเย็นสุดขั้ว
“นี่คือสิ่งชดเชยของข้า?” มุมปากของหลัวซิวกระตุก อนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์คนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ทุกครั้งที่เอาอะไรออกมา หากไม่ใช่สมบัติระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 ก็คือภูตอัคคีซึ่งเป็นระดับสมบัติหายากทั้งนั้น
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสามารถดูออกว่าหลัวซิวนั้นตื่นเต้น จึงได้ยิ้มมุมปาก “เจ้ามีพลังไสยอัคคี สามารถเอาภูตอัคคีเปลวเยือกหลอมรวม และถ้าข้าคาดเดาไว้ถูกต้อง เจ้ามีภูตอัคคีอีกตัวในร่างกายของเจ้า หลอมรวมพลังของสองภูตอัคคีใหญ่ คนจากแดนเดียวกันที่สามารถแข่งขันกับเจ้าก็คงจะหาได้ยาก”
สำหรับเรื่องที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวรู้เรื่องภูตอัคคีในกายของตนนั้น หลัวซิวไม่ได้แสดงความรู้สึกประหลาดใจออหมา เพราะเวลาที่เขาต่อสู้กับคนอื่น ๆ ก็มีการใช้พลังของภูตอัคคีกลืนกิน รวมถึงอนาคินผู้แข็งแกร่งท่านนี้ยังเป็นเจ้ายุทธจักรอัคคี สำหรับลมปราณของเปลวเพลิงนั้นเขาสามารถสัมผัสได้ไวกว่าผู้อื่น สามารถรับรู้ได้นั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ
หลังจากออกมาจากสำนักหลัวเทียน หลัวซิวรู้สึกว่าตนนั้นยังไม่ได้สติกลับคืนมา
ภูตอัคคีเปลวเยือกยังไม่ได้อยู่ในมือของเขา เพราะว่าเงื่อนไขของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว คือเขาต้องเอาชนะอันดับที่หนึ่งในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ถึงจะให้ภูตอัคคีเปลวเยือกเป็นสิ่งตอบแทนเขา
ภูตอัคคีต่อให้ดีอย่างไร แต่เมื่อเทียบกับการคว้าอันดับหนึ่งและตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน หลัวซิวยังลังเลที่จะปฏิเสธ
แต่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามคาดทุกอย่าง หลังจากนั้นมีการชดเชยอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือวิชาลับ ว่าจะทำเช่นไรจึงจะสามารถหลอมรวมภูตอัคคีเข้ากับพลังธาตุไฟได้!
ด้วยเหตุนี้ เส้นป้องกันที่หลัวซิวขีดไว้ก็ขาดสะบั้น เพราะเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ตนจะต้องเผชิญ ผลประโยชน์ที่ล่อตาล่อใจนี้ มันออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น หลัวซิวก็รู้ดีว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยินยิมที่จะนำภูตอัคคีเปลวเยือกและวิชาลับเป็นสิ่งชดเชยให้กับเขา ประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากสิ่งนี้ ย่อมมีค่ามากกว่าสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน
เมื่อออกจากสำนักหลัวเทียน หลัวซิวก็ติดต่อกับฉีฝ่าเทียน จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายได้พาเหยียนเยว่เอ๋อร์ ไปพักอยู่ที่เกสเฮ้าว์กลางเมือง
สำหรับเรื่องในสำนักหลัวเทียน หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นที่เกี่ยวข้องกับสี่เจ้ายุทธจักร สำหรับคนระดับฉีฝ่าเทียนแล้วนั้น ยิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งเป็นเรื่องดีเท่านั้น
ฉีฝ่าเทียนก็ยังเข้าใจกฎพื้นฐานนี้เป็นอย่างดี เมื่อหลัวซิวไม่พูด เขาก็ไม่เอ่ยปากถาม
เมื่อพบกับเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว หลัวซิวก็อดคิดไม่ได้ที่จะคิดถึงลู่เมิ่งเหยาที่ได้เจอในสำนักหลัวเทียน เขาเกิดความลังเลว่าควรจะเล่าเรื่องของเมิ่งเหยาให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ฟังหรือเปล่า