มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 605
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 605
“ข้าจะลองดู”
หลัวซิวอมยิ้ม ร่างของเขาหายวับไปทันที ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าเหลียนเอ๋อร์ และใช้ฝ่ามือทลายไปที่แสงบัวสีขาวนั้น
การโจมตีนี้หลัวซิวใช้พลังทั้งหมดเก้าเท่า ความรุนแรงของมันเพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือมกุฎยุทธ์ขั้น 6 ลอยกระเด็น
โครม!
ฝ่ามือกระทบเข้ากับแสงบัวป้องร่างอย่างรุนแรง ร่างเนื้อที่เป็นระลอกถูกการโจมตีอย่างรุนแรงนี้ ดอกบัวอันขาวสะอาดสั่นไหวสั่นคลอนก่อเป็นเกลียวคลื่นมากมายนับไม่ถ้วน
ลมแรงพัดเป็นเกลียวคลื่นไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ค่ายคุ้มกันที่ปกคลุมโดยรอบสั่นไหว ทว่าดรุณีน้อยที่ใช้แสงบัวป้องร่างอยู่นั้นกลับยืนนิ่งด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“เป็นการคุ้มกันที่แข็งแกร่งนัก” หลัวซิวรู้สึกได้ว่าแสงบัวป้องร่างที่ผนึกรวมขึ้นมานี้ มีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งยากทำลาย
“เป็นอย่างไร ท่านอยากทำลายการคุ้มกันของข้า แค่นี้ท่านก็แพ้แล้ว” ใบหน้าของเหลียนเอ๋อร์ที่ถูกปกคลุมอยู่นั้นเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“วิชายิ่งเลิศแสงบัวป้องร่างของแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้ นับเป็นวิชายิ่งเลิศขั้นสูง การป้องกันได้หมดนี้ไม่ได้มีเพียงชื่อเท่านั้น แต่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาป้องร่างที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้แล้ว”
“หากมีวิชาป้องกันได้หมดนี้ ก็เท่ากับว่าไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ ร่างเนื้ออสุราของหลัวซิวไม่สามารถทำลายแสงบัวป้องร่างได้ โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยซ้ำ”
“แม้ตัวสำนึกวิญญาณของหลัวซิวจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่วิชายิ่งเลิศอย่างแสงบัวป้องร่างก็สามารถป้องกันการโจมตีทางวิญญาณได้เช่นกัน”
เหลียนเอ๋อร์ที่อยู่ในแสงบัวป้องร่างยกมือขึ้นบีบตราประทับ แสงสีขาวที่ปกคลุมบางๆ อยู่รอบมือคล่อยๆ เคลื่อนที่หมุนวน
“หนุ่มน้อยชุดดำ ท่านลองดูฝีมือของข้าบ้างก็แล้วกัน”
ระหว่างที่พูด ตราประทับของเหลียนเอ๋อร์ก็ยิ่งเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ แท่นบัวสีขาวที่ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของนางพลันปล่อยแสงขาวสว่างจ้าออกมาทันที
แสงสีขาวผนึกรวมเข้าด้วยกันทันทีกลายเป็นฝ่ามือยักษ์ ที่ปกคลุมไปทั่วฟ้ารวมทั้งปกคลุมเวทีประลองทั้งหมดด้วย ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
“ฝ่ามือโอบจันทรา!”
ทักษะยุทธ์ที่เหลียนเอ๋อร์แสดงออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงนี้เป็นหนึ่งในวิชายิ่งเลิศ ต่อให้เป็นอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ โดยมากแล้วก็จะฝึกฝนวิชายิ่งเลิศเพียงสาขาเดียวเท่านั้น เพราะวิชายิ่งเลิศแข็งแกร่งมาก ความยากในการฝึกฝนจึงมากขึ้นตามไปด้วย คนส่วนมากใช้เวลาทั้งชีวิตก็อาจจะยังไม่สามารถศึกษาวิชายิ่งเลิศได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแม้แต่สาขาเดียว
ประเด็นต่อมาคือทักษะวรยุทธ์อย่างวิชายิ่งเลิศไม่สามารถถ่ายทอดต่อๆ กันได้อย่างง่ายดาย อัจฉริยะส่วนมากก็มักจะได้รับวิชานี้จากการฝึกฝนเท่านั้น
ส่วนหลัวซิวนั้นฝึกฝนวิชายิ่งเลิศได้ทั้งสามสาขา อาจจะดูร้ายกาจ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนส่วนมากมักจะดูแคลนเขา โดยคิดว่าการฝึกเช่นนี้คงไม่สามารถฝึกฝนวิชายิ่งเลิศทั้งสามวิชาได้ถึงแดนที่ลึกซึ้งอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าจะยอมทิ้งอีกสองสาขาแล้วตั้งใจฝึกเพียงสาขาเดียว
ส่วนวิชายิ่งเลิศที่เหลียนเอ๋อร์ผู้นี้ฝึกฝนเป็นวิชายิ่งเลิศสาขาที่สอง และสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกตื่นตะลึงที่สุดก็คือนางได้ฝึกฝนสาขาวิชานี้จนถึงแดนขั้นสูง
พรสวรรค์ของนางน่ากลัวมากขนาดไหน
“วิชาสังหารไท่เสวียน!”
หลัวซิวเองก็ไม่ลังเลที่จะแสดงทักษะยุทธ์ยิ่งเลิศ ฝ่ามือที่แข็งแกร่งราวกับภูเขาลูกหนึ่งพุ่งทะยานเข้าปะทะกับฝ่ามือโอบจันทราที่ปกคลุมทั้งเวทีประลองยุทธ์เอาไว้
เกิดเสียงดังเพล้ง แสงสีขาววิบไหวภายใต้ฝ่ามือโอบจันทราได้บีบภูเขาลูกนั้นจนแตกละเอียด สิ่งที่ทั้งสองคนนั้นแสดงออกมาล้วนเป็นทักษะยุทธ์ยิ่งเลิศ แต่พลังที่เหลียนเอ๋อร์แสดงออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าหลัวซิวมาก
ไม่ใช่ว่าวิชาสังหารไท่เสวียนนี้สู้ฝ่ามือโอบจันทราไม่ได้ แต่เป็นเพราะหลัวซิวยังไม่สามารถควบคุมวิชายิ่งเลิศนี้ได้จนถึงแดนขั้นสูงนั่นเอง
“ฮี่ๆ พ่อหนุ่มชุดดำ ท่านแพ้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ เหลียนเอ๋อร์จึงโบกกำปั้นของตัวเองอย่างร่าเริง