มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 7 วิวาทกับหวางฮุย
บทที่ 7 วิวาทกับหวางฮุย
เมื่อถูกเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่า หลัวซิวเองก็รู้สึกโมโหไม่น้อย เขาจึงพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า : “พวกเจ้าจงตั้งตาดูให้ดี ๆ !”
ขณะที่พูดเขาก็สำแดงวรยุทธ์ ร่างกายของเขาแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวปราณในของผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่างขั้น4 เส้นเอ็นและกระดูกของเขาส่งเสียงดังออกมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เข้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับของการฝึกฝนเส้นเอ็นและกระดูก”
เสียงหัวเราะของหวางฮุยหยุดลงทันที
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมผลการฝึกตนของเจ้าถึงยกระดับได้รวดเร็วเพียงนี้ ?” หวางฮุยอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เย็นชาลง “ต่อให้เจ้าอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น4แล้วยังไง ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าเข้าไป ก็คือไม่ให้เจ้าเข้าไป !”
หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าหวางฮุยจะทำเกินกว่าเหตุเช่นนี้ แววตาของเขาดุดันขึ้น “เจ้ากล้าทำลายกฎระเบียบของสำนักยุทธ์อย่างนั้นหรือ ?”
“กฎระเบียบ ?” หวางฮุยหัวเราะเยาะ “กฎระเบียบก็ต้องดูว่าใช้กับใคร ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรงก็ได้ หากเป็นเมื่อก่อน ข้าคงเห็นแก่ความเป็นเพื่อนบ้านของเราและปล่อยให้เจ้าเข้าไป แต่ในเมื่อเจ้ากล้ามีเรื่องกับคุณชายตระกูลจาง ประตูใหญ่ของหอเก็บหนังสือนี้ เจ้าก็อย่าฝันว่าจะได้ก้าวเข้าไปอีกเลย !”
“ก็ดีเหมือนกัน ได้ยินว่าเจ้าทำร้ายน้องชายของคุณชายจางจนได้รับบาดเจ็บ พวกเราจะได้ถือโอกาสพาตัวเจ้าไปรับโทษกับคุณชายจางเสียเลย !” ลูกศิษย์ชั้นกลางอีกคนที่ทำหน้าที่ดูและหอเก็บหนังสือคู่กับหวางฮุยเอ่ยขึ้นพลางยิ้มเยาะ
ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็ยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของหลัวซิวเอาไว้ อีกทั้งเขายังมั่นใจในความสามารถของตนเองอีกด้วยว่า ในฐานะที่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น5 การที่จะเอาชนะลูกศิษย์ชั้นต้นสักคนคงไม่ใช่เรื่องยาก
การดูถูกเยาะเย้ยของอีกฝ่ายทำให้หลัวซิวรู้สึกโมโหขึ้นมาจริง ๆ เขาตะโกนเสียงดังออกมา พร้อมทั้งปล่อยหมัดกระทิงบิ่น ซึ่งเป็นหมัดที่รวดเร็วและดุดัน ราวกับมีเสียงของวัวกระทิงดังขึ้น พร้อมด้วยพลังอันดุร้ายที่พลุ่งพล่านออกมา
“ฮ่าฮ่า ใจกล้าไม่น้อยเลยนี้ กล้าคิดตอบโต้อย่างนั้นหรือ ข้า หลูเฟิง จะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่า การกลั่นร่างขั้น5และการกลั่นร่างขั้น4 มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน !”
หลูเฟิงผู้นี้เหมือนกับหวางฮุย เขาคอยติดตามจางห่าย เป็นลูกศิษย์ชั้นกลางที่หวังจะพึ่งใบบุญของตระกูลจางในอนาคตเช่นเดียวกัน
คนเช่นพวกเขามีอยู่จำนวนมาก รู้ดีว่าผลการฝึกตนของตนเองนั้นไม่โดดเด่นนัก จึงมาได้ไกลเพียงแค่ชั้นกลาง ส่วนเรื่องที่จะไต่เต้าขึ้นสู่ชั้นสูงนั้นถือว่าไม่มีหวัง ถึงเวลานั้นหากจบการศึกษาชั้นกลางจากสำนักยุทธ์ด้วยระดับการกลั่นร่างขั้น5และ6 สามารถเข้าทำงานกับตระกูลจางในตำแหน่งที่ดี ๆ ได้
ดังนั้นทั้งสองคนจึงลงทุนลงแรงขัดขวางหลัวซิวทุกวิถีทางที่หน้าหอเก็บหนังสือ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ดึงดูดความสนใจของบรรดาลูกศิษย์ที่จะเข้าไปในหอสมุดไม่น้อย มีหลายคนรู้สึกอดเป็นห่วงแทนหลัวซิวไม่ได้ คนที่ลงมือคือหลูเฟิงซึ่งเป็นถึงลูกศิษย์ชั้นกลางที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 แล้วลูกศิษย์ชั้นต้นจะเอาอะไรไปสู้ได้ ?
“ตุบ !”
หมัดและฝ่ามือปะทะกันเกิดเสียงดังสนั่น ร่างกายของหลูเฟิงแข็งทื่อไปในทันที จากนั้นริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาและมีใบหน้าที่ซีดเผือด
“โอ๊ย !……”
เสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของหลูเฟิง เป็นเสียงที่ดังก้องจนแสบแก้วหู เขาเดินถอยร่นไปด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด แขนขวาของเขาห้อยไปมา โดยเฉพาะกระดูกมือขวาของเขาแตกละเอียด
“หลูเฟิง !” หวางฮุยหน้าถอดสีทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 จะถูกหลัวซิวทำร้ายให้บาดเจ็บได้ในกระบวนท่าเดียว
หลูเฟิงร้องโหยหวนเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดจากกระดูกที่หักทำให้ตัวของเขาสั่นเทาไม่หยุด
สีหน้าของหลัวซิวรึความรู้สึก “ทำลายกฎระเบียบของสำนักยุทธ์ ขัดขวางไม่ให้ข้าเข้าไปในหอเก็บหนังสือ รนหาที่ชัด ๆ !”
ขณะที่พูด หลัวซิวก็หันมองหวางฮุยด้วยแววตาที่เย็นชา “ตอนนี้เจ้ายังคิดจะขวางข้าอีกไหม ?”
ถึงแม้ผลการฝึกตนของทั้งสองคนจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าตนเอง แต่เป็นเพราะการฝึกปราณเป็นตายสองระดัย ประกอบกับสามารถใช้วิธีทำลายเส้นชีวิตได้โดยตรง ทำให้หลัวซิวไม่ได้เห็นลูกศิษย์ชั้นกลางที่ผ่านการกลั่นร่างขั้น5ทั้งสองคนนี้อยู่ในสายตา
เมื่อถูกหลัวซิวจับจ้อง หวางฮุยก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น รู้สึกว่าหลัวซิวในตอนนี้ดูราวกับคนแปลกหน้า เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
แต่เมื่อคิดถึงว่าตนเองนั้นมีตระกูลจางคอบหนุนหลังอยู่ หวางฮุยจึงแสดงท่าทีแน่วแน่ออกมาในทันที พร้อมทั้งตะโกนด้วยความโมโหว่า : “หลัวซิว เจ้าช่างกล้านัก ไม่เพียงคิดจะบุกรุงเข้าหอเก็บหนังสือ แต่ยังทำร้ายผู้ที่เฝ้ายามอีกด้วย ข้าจะขอทำลายผลการฝึกตนของเจ้าซะ !”
คำพูดเหล่านี้ หวางฮุยกล่าวออกมาด้วยความโมโห ปราณในทั่วทั้งร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหว
“ข้าเองก็เคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายอย่างเช่นเจ้ามาก่อน ทุกคนในที่นี้เป็นพยานได้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเจ้าเป็นคนฝ่าฝืนกฎระเบียบก่อน แล้วจู่ ๆ คิดจะใส่ร้ายข้าอย่างนั้นหรือ ?” หลัวซิวหัวเราะเยาะออกมา
“เจ้าหลัวซิว !” หวางฮุยรู้สึกโมโหแต่ไม่รู้จะโต้แย้งเช่นไร หางตาของเขาเหลือบไปเห็นบรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่ยืนห้อมล้อมกันอยู่
“จริงด้วย คิดว่าอยู่ชั้นกลางแล้วเก่งนักหรืออย่างไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหลัวซิวฝึกตนถึงระดับการกลั่นร่างขั้น4แล้ว หากว่ากันตามกฎระเบียบสามารถเข้าไปเลือกรับวิชายุทธ์ในหอเก็บหนังสือได้ แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้หลัวซิงเข้าไป”
“แต่หลัวซิวเองก็เก่งกาจไม่เบา ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นกลางระดับการกลั่นร่างขั้น5 ยังไม่อาจต้านทานหมัดของเขาได้”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นโดยรอบทำให้หวางฮุยหน้าถอดสี เขารู้ดีว่าตนเองนั้นไร้เหตุผล แต่ถ้าหากเขาจัดการกับคนอย่างหลัวซิวให้พิการได้ สำนักยุทธ์คงไม่ลงโทษเขาเพียงเพื่อคนพิการคนเดียวอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็ยังมีตระกูลจางเป็นที่พึ่งอยู่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็หันมองคนที่ยืนอยู่โดยรอบอย่างดุร้าย แล้วพูดขึ้นด้วยความโมโห : “หลัวซิว ในเมื่อเจ้ายังกล้าต่อปากต่อคำอีก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าพิการให้ได้ !”
เขาพุ่งตรงเข้าใส่หลัวซิวทันที แล้วพุ่งหมัดทะลุอากาศไปอย่างรวดเร็ว หลูเฟิงถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ทำให้หวางฮุยรู้สึกกลัวเล็กน้อย ดังนั้นจึงเลือกใช้ทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง
“ทักษะยุทธ์ระดับ2 ? ครั้งนี้หลัวซิวควรรับมืออย่างไรดี ?”
“เมื่อครู่หลูเฟิงคนนั้นประมาทเกินไปจึงพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรู แต่หวางฮุยคงไม่มีทางทำผิดพลาดซ้ำสองอย่างเด็ดขาด”
“ผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านการฝึกระดับเส้นเอ็นและกระดูกใรการกลั่นร่างขั้น5 มักมีพลังที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับทักษะยุทธ์ระดับ2 หากการกลั่นร่างระดับ4ถูกทำร้ายเข้าอย่างจัง ต่อให้ไม่ถึงตายก็คงต้องพิการอย่างแน่นอน !”
“หลีกไปให้พ้น !”
หลัวซิวตะโกนด้วยความโมโห เขายังคงให้หมัดกระทิงบิ่นประมือกับอีกฝ่าย
ในสายตาของทุกคน พลังของหลัวซิวด้อยกว่าหวางฮุยหลายเท่าตัวนัก
“ตุบ !”
ขณะที่หมัดทั้งสองปะทะกัน จู่ ๆ หวางฮุยก็ร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย มือข้า !”
เขาเดินโซเซถอยหลังไป เสียงกระดูกหักดังขึ้น ความเจ็บปวดราวกับถูกแทงทะลุหัวใจ ทำให้หวางฮุยไม่อาจทานทนได้
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?”
ทุกคนต่างตกตะลึงไปอีกครั้ง หลูเฟิงและหวางฮุยล้วนอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 แน่นอนว่าจะต้องมีพลังที่แข่งกว่าขั้น4หลายเท่าตัวนัก แต่เพียงแค่กระบวนท่าเดียว กลัวพ่ายแพ้ให้กับหลัวซิวเสียแล้ว
“หมัดของหลัวซิวยากที่จะเอาชนะได้ มันต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ ๆ”
“วิชาหมัดกระทิงบิ่นเป็นเพียงทักษะยุทธ์ระดับ1 ทำไมถึงได้มีพลังที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้ ?”
ทุกคนต่างตกตะลึง ในสายตาของลูกศิษย์สำนักยุทธ์เหล่านี้ ไม่อาจมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้เรื่องนี้ได้เลย
“ตอนนี้ข้าจะเข้าไปในหอเก็บหนังสือ พวกเจ้ายังคิดจะขวางอยู่อีกไหม ?”
หลัวซิวเย้ยหยันแล้วเดินตรงไปด้านหน้า หลูเฟิงและหวางฮุยต่างกุมมือขวาของตนเองเอาไว้ แล้วถอยร่นไปด้วยความหวาดกลัว
“หลัวซิว เจ้าอย่าทระนงตนให้มากนักนะ เจ้ากล้าล่วงเกินตระกูลจางเช่นนี้ ไม่มีทางได้ตายดีแน่ !” หวางฮุยกัดฟัน แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดัน
ข้าทระนงตน ? ดูเหมือนคนที่ทระนงตนมาโดยตลอดคือพวกเจ้ามากกว่านะ ?
หลัวซิวหันมองทั้งสองอย่างดูถูก เขาไม่อยากพูดกับคนเหล่านี้ให้มากความ “หลีกไป มิเช่นนั้นข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้มือของพวกเจ้าพิการอีกข้างหนึ่ง !”
“เจ้า……หลัวซิว เจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไปหน่อยเลย !”
“หนวกหู !”
ใบหน้าของหลัวซิวเย็นชา เขาใช้เท้าเตะไปที่ทั้งสองคนที่ขวางทางเขาอยู่ในทันที
########################